หิมะที่ตกหนักหยุดลง แม้ยังคงกองทับถมไม่ละลาย แต่ท้องฟ้ากระจ่างใสแล้ว เฉิงตั๋วยืนอยู่บนแท่นยกสูงในค่ายทหาร กำลังตรวจสอบการฝึกฝนของทหารในค่าย ขณะนั้นเขามองเห็นสองเงาร่าง หนึ่งแดงหนึ่งขาวควบม้ามาจากที่ไกลๆ ในใจก็รู้แล้วว่าเป็นตงฟาง จึงกระโดดลงจากแท่น ขี่ม้าออกไปต้อนรับ
หนนี้ตงฟางไม่ได้แต่งกายเป็นคนตัดไม้ เขาสวมชุดตัวยาวผมครอบเกี้ยว ชายเสื้อพลิ้วไปตามแรงลม ยิ่งดูองอาจสง่างามมากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่ใช่เพราะเมฆหมอกสลาย ท้องฟ้าจึงเปลี่ยนไปสว่างไสว แต่เป็นเพราะเขามาแล้ว ท้องฟ้าจึงกระจ่างใสขึ้นมา ทหารที่เดิมฝึกฝนกันอยู่ต่างพากันหยุดมือ ทยอยมองตามไป
เฉิงตั๋วควบม้าไปถึงด้านหน้าพวกเขา ทั้งสองฝ่ายเอ่ยทักทายกันอย่างอารมณ์ดี แล้วลงจากหลังม้าบริเวณหน้าค่าย เดินเข้าไปในกระโจมหลัก หยางโหย่วหลิน จ้าวสุ่นก็ติดตามเข้ามา เฉิงตั๋วแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันรอบหนึ่ง หมิงจีเหลือบมองไปทางหยางโหย่วหลิน คล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ก็อดทนเอาไว้
เฉิงตั๋วย่อมรู้ว่านางอยากจะพูดอะไร จึงยิ้มเอ่ยว่า “วันนั้นทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ไว้ข้าจะไปจัดการพวกเขาให้”
หมิงจียิ้ม “วันนั้นท่านอ๋องทรงช่วยหม่อมฉันเอาไว้ พี่ชายบอกว่าหม่อมฉันไร้มารยาท ถึงกับไม่เคยขอบพระทัยท่านอ๋อง” นางยอบกายลงคารวะ “ขอบพระทัยที่ทรงช่วยเหลือเพคะ” บัดนี้สถานะของเฉิงตั๋วต่างออกไป นางจึงไม่กล้าเรียกขานแบบเดิมอีก
เฉิงตั๋วเห็นนางรู้จักรุกถอย จึงเรียกเจ๋อเหรินมาสั่งการอย่างพึงพอใจ “ท่านตงฟางกับแม่นางหมิงจีล้วนเป็นแขกสูงศักดิ์ของข้า เจ้านำทางให้แม่นางหมิงจี เตรียมที่พักดีๆ ให้ ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเสียมารยาท”
หมิงจีตามเจ๋อเหรินออกไป เฉิงตั๋วจึงเคาะนิ้วกับเอกสารบนโต๊ะ พูดกับตงฟาง “ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าพูด ฝ่าบาททรงถ่ายทอดพระราชโองการมาแล้ว มีทั้งคำแถลงและคำสั่งลับ เปลือกนอกโยกย้ายทหารจากเมืองจำนวนหนึ่งมาให้ข้าทำศึก แต่ลับหลังก็บอกไม่ให้ข้าทำศึก เจ้าดูเอาเถอะ”
ตงฟางก็ไม่ปฏิเสธ ดึงกระดาษสีขาวนวลแผ่นหนึ่งออกมาจากกองกระดาษที่ซ้อนทับกัน เมื่อได้อ่านก็อดนิ่งอึ้งไปไม่ได้ ตัวอักษรบนกระดาษชดช้อยไหลลื่น เขียนเอาไว้อย่างกระชับสั้นว่า ‘น้องจิ่นมอบให้ จดหมายถึงพี่ห้า เมื่อวานราชสำนักถกเตรียมรบ ส่งทหารกุ้งหนึ่งแสน แม่ทัพปูส่วนหนึ่งไปให้พี่ชาย ภาวนาให้ไปถึงในเร็ววัน การศึกราบรื่น เฉิงจิ่นน้อมคำนับ’
เฉิงตั๋วเอียงหน้ามองก่อนรีบคว้ากลับมา พับมันใส่กลับเข้าไปในหนังสือบนโต๊ะด้านหลัง เพราะเป็นจดหมายส่วนตัว เฉิงจิ่นจึงใช้คำว่า ‘ทหารกุ้งแม่ทัพปู’ หยอกล้อเขา แต่ถึงอย่างไรก็ดูไม่ค่อยเคารพไปบ้าง จึงยิ้มพูดว่า “น้องเล็กไปถึงเมืองหลวงแล้วฝากจดหมายมากับผู้ติดตามของข้า เขียนเหลวไหลไปบ้าง เป็นข้าที่ไม่ทันระวังวางไว้ผิดที่” พร้อมกับหาพระราชโองการยื่นส่งให้
ตงฟางรับพระราชโองการมา แต่กลับไม่เปิดออกดู เพียงถาม “หนึ่งแสน?”
เฉิงตั๋วพยักหน้า “หนึ่งแสน” เห็นตงฟางนิ่งเงียบไม่พูดจา เขาจึงพูดต่ออย่างไม่เร่งไม่ร้อน “ข้าเตรียมจะป่าวประกาศว่าเป็นสองแสนเจ็ดหมื่นนาย”
ตงฟางยิ้มออกมา
ในการทำศึก ระหว่างสองกองทัพมักจะหาตัวเลขกำลังพลมารายงานหลอกเพื่อเป็นการข่มขู่อีกฝ่ายอยู่เสมอ เดิมทีนี่เป็นกลยุทธ์ปกติสามัญ แต่อย่างไรก็ตามเฉิงตั๋วกลับเลือกตัวเลขประหลาดยี่สิบเจ็ด ทำให้คล้ายเป็นเรื่องจริง ยิ่งแยกแยะได้ยากขึ้นกว่าเดิม
ตงฟางเห็นสีหน้าเขา รู้ว่าเขามีแผนการของตน จึงค่อยๆ เก็บพระราชโองการฉบับนั้นวางทับกลับลงไปในกองกระดาษอีกครั้ง “ข้าเห็นว่าเร็วๆ นี้ยังทำสงครามไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ หิมะละลายเสียก่อน ระยะนี้เองก็จัดระเบียบทัพใหม่ ฝึกฝนการต่อสู้”
ดังนั้นเฉิงตั๋วจึงถวายฎีกาตอบรับพระราชโองการ พร้อมป่าวประกาศคำสั่งออกไป ทหารหนึ่งแสนกว่านายที่มีอยู่ในมือถูกประกาศเป็นสองแสนเจ็ดหมื่นนาย กำลังพลถูกจัดวางให้กระจายตัวอยู่ตลอดแนวหน้าของเยี่ยนโจวและอวิ๋นโจว ช่วงกลางฤดูหนาวเช่นนี้ แม้ทหารชาวหูจะเคียดแค้นทว่าไม่กล้าบุกผลีผลาม ชั่วขณะหนึ่งทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในสภาพราวกับแช่แข็งต่อกัน