บทที่หก
อาซือไห่เอ่ยด้วยสีหน้าอมทุกข์ “ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา กระหม่อมเดินทางจากเมืองเจ่อเยี่ยไปจนถึงดินแดนตะวันตก บ่าวหญิงอาวุโสผู้หนึ่งของจวนซิวถูอ๋องบอกว่าเมื่อสองปีก่อน ช่วงที่ซิวถูอ๋องเป็นทัพหน้าให้หูตี๋ นางคือคนที่ซิวถูอ๋องชิงตัวมาจากข่านสั่วลั่วเอ่อร์ นักเวทของซิวถูอ๋องบอกว่านางเป็นตัวกาลกิณี ผู้ใดได้ไปผู้นั้นจะโชคร้าย กระหม่อมมุ่งเดินทางต่อไปทางตะวันตกจนกระทั่งไปถึงสถานที่ที่ข่านสั่วลั่วเอ่อร์เคยพำนักอยู่เดือนหนึ่ง จากนั้นจึงพบตัวอดีตองครักษ์ในจวนผู้หนึ่ง เมื่อพูดถึงนาง เขาก็นึกออกทันที” อาซือไห่พลันนิ่งเงียบไป
“เจ้ารู้อะไรก็พูดออกมา” เฉิงตั๋วกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ อดีตของสตรีนางนี้สุดแสน…สุดแสนจะ…” อาซือไห่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคงใช้คำว่า ‘น่าดู’ ไม่ได้แน่ๆ ครู่ใหญ่ถึงเค้นคำว่า ‘เลวร้าย’ ออกมา “สุดแสนจะเลวร้ายมาก นางมีความเป็นมาอย่างไรไม่มีผู้ใดรู้ แต่นางเป็นคนใบ้จริงๆ อยู่ในจวนอ๋องของข่านสั่วลั่วเอ่อร์มาตั้งแต่อายุสิบเอ็ดสิบสอง ข่านสั่วลั่วเอ่อร์เกลียดนางมาก จึงใช้ทุกวิถีทางทรมานนาง แต่ไม่เคยมีผู้ใดได้ยินนางเปล่งเสียงออกมาเลย หากนางแกล้งเป็นใบ้ ไม่มีทางแสดงได้ดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย” อาซือไห่เล่าจบก็ถึงกับกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นอยู่บ้าง “ข่านสั่วลั่วเอ่อร์เป็นผู้มีชื่อเสียงเรื่องความวิปริตผู้หนึ่ง”
เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ข้าพอได้ยินมาบ้าง แล้วความวิปริตนั่นเป็นอย่างไรกันแน่”
ฉาฉานั่งอยู่ในกระโจมใหญ่ของเฉิงตั๋ว จู่ๆ ก็รู้สึกใจสั่น ขนแขนลุกซู่ขึ้นมา นางลุกขึ้นยืน มองออกไปด้านนอกแล้วเดินออกไปนอกกระโจม แสงแดดส่องกระทบร่าง นางเห็นหยางโหย่วหลินกำลังเดินตรวจตราค่ายอยู่ที่ไกลๆ ทหารนายหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังเขา ทั้งสองคนคุยกันเป็นพักๆ ส่วนฉาฉายืนดูพวกเขานิ่งไม่ไหวติง มองอยู่สักพักนางก็ขยับเท้าเดินไปด้านข้างกระโจม ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนเร็ว แสงแดดที่ส่องมาโดนร่างอบอุ่นอย่างมาก นางเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าเนื้อบางนานแล้ว ด้านนอกสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาวอีกตัว บริเวณเอวคาดสายรัดสีแดง ผมถักเป็นเปียง่ายๆ สองเส้น ปลายผมยาวจรดเอว แกว่งไกวไปตามจังหวะก้าวเดิน
ในตอนที่เฉิงตั๋วเห็นนางจากที่ไกลๆ ก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ เพราะนางเดินกอดอกอย่างสบายใจยิ่ง ราวกับตนไม่ใช่ทาส แต่เป็นคุณหนูในห้องหอที่ออกมาเที่ยวชมฤดูใบไม้ผลิ แม้สีหน้านางจะเฉยชา ทว่ากลับยากจะมองเห็นแววทุกข์ใจ ทำให้เฉิงตั๋วรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่อาซือไห่เล่าให้ฟังเมื่อครู่ มองดูก็เห็นได้ชัดว่านางอยากมีชีวิตอยู่ ทว่าก็คล้ายกับไม่แยแสความตาย เฉิงตั๋วพบเจอคนพยายามตายมามากนัก เพราะบางทีการตายไปเสียยังง่ายกว่ามีชีวิตอยู่
ขณะที่เขาเหม่อลอยไปชั่วครู่ ฉาฉาก็เดินอ้อมกระโจมหายลับตาไปแล้ว เฉิงตั๋วไม่ไปพิเคราะห์ว่าฉาฉาเป็นเช่นไรกันแน่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เฉิงตั๋วเป็นคนเด็ดขาดผู้หนึ่ง ไม่มีทางทำให้เรื่องราวสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เขาเดินกลับไปที่กระโจมใหญ่ ม่านกระโจมปิดอยู่ ทั้งยังขยับไหวน้อยๆ เขาเลิกม่านขึ้น ทว่ากลับเหนือความคาดหมาย เพราะว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างใน
ฉาฉาไม่มีทางเดินไปไกล นางกระจ่างแจ้งยิ่งว่าที่ใดควรไป ที่ใดไม่ควรไป เมื่อครู่เฉิงตั๋วเห็นนางเดินอ้อมกระโจมใหญ่มาชัดๆ เฉิงตั๋วหันกลับไป ภายนอกปกติดีทุกอย่าง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเห็นฉาฉาเดินออกมาจากอีกด้านของกระโจมใหญ่ ฝีเท้าร้อนรนกว่าปกติเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเฉิงตั๋วยืนอยู่ตรงประตูกระโจม ดังนั้นทันทีที่เดินเลี้ยวมาก็เกือบชนเข้ากับเขา นางเงยหน้าขึ้นทันควัน ก่อนจะรีบร้อนก้มลง เฉิงตั๋วเห็นทันทีว่าใบหน้านางแดงน้อยๆ ไม่ได้ซีดขาวเหมือนปกติ