ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ทาสหญิงพลิกแผ่นดิน บทที่ 7 – บทที่ 8
บทที่เจ็ด
เมื่อเฉิงตั๋วเอ่ยประโยคนี้ออกมา ภายในกระโจมก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ผ่านไปครู่หนึ่งเจ๋อเหรินถึงได้ตอบสนอง ตระหนักได้ว่าเฉิงตั๋วกำลังถามตน จึงตอบกลับ “พ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วลุกขึ้นยืน มองไปที่เขา “หรือข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี?”
เจ๋อเหรินคุกเข่าลง “กระหม่อมไม่เข้าใจความหมายของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว ถอนหายใจ กล่าวว่า “ความไม่เข้าใจของเจ้ากลับทำให้ข้าไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไร”
ภายในกระโจมเงียบไปอีกครา ได้ยินเพียงเสียงฉาฉาหอบหายใจเบาๆ ความเจ็บปวดแผ่ลามไปทั่วร่างกายช้าๆ นางฟุบอยู่บนท่อนแขนตัวเอง ขบฟันทนความเจ็บปวดรุนแรงที่ถูกส่งมาจากบาดแผลเงียบๆ นึกสงสัยว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนถึงได้รู้สึกเศร้าใจ หากความเศร้าไม่ได้รับการตอบกลับด้วยความเห็นใจ นั่นก็เป็นแค่ความทุกข์ใจอันเสียเปล่าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เคยรู้สึกเศร้า
เฉิงตั๋วไม่เห็นใจนาง เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย แต่ในคืนข้ามปีวันนั้นเขาเคยเห็นใจนางมาก่อนจริงๆ เช่นนั้นที่นางเศร้าใจคงเป็นเพราะความไม่เห็นใจหลังจากที่เคยเห็นใจกระมัง คิดอยู่สักพัก ในที่สุดนางก็ทนต่อไปไม่ไหว หมดสติไปดังใจหวัง
“หนนี้กลับมาเยี่ยนโจว ข้าก็รู้สึกได้ว่าเยี่ยนโจวไม่เหมือนเยี่ยนโจวเมื่อสองปีก่อนแล้ว” เฉิงตั๋วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ “ข้ากลับมาคราวนี้เป็นเรื่องกะทันหัน ซิวถูอ๋องไม่รู้สักนิดว่าจะถูกข้าบุกโจมตี หลังเสร็จเรื่องข้าไปเมืองผิงเหยา ระหว่างทางพบคนผู้หนึ่ง เขาบอกข้าว่าเห็นชาวหู”
สีหน้าเจ๋อเหรินยังคงราบเรียบว่างเปล่า “ท่านอ๋องมิใช่ตรัสถึงเด็กน้อยที่ความเป็นมาไม่ชัดเจนผู้นั้นหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ใดเสียแล้ว”
“ตอนที่ข้าพบเขา เขาบอกข้าว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในร่องหิมะมาหนึ่งคืนแล้ว หากประโยคนี้เป็นความจริง ชาวหูเหล่านั้นต้องไม่ใช่ทหารแตกทัพที่เหลือ ทั้งยังไม่ใช่ทหารทัพเสริม แต่เป็นพวกเชลยที่ข้าออกคำสั่งให้ปล่อยกลับไป! การที่พวกเขาสามารถเดินทางไปถึงที่นั่นได้อย่างปลอดภัย จะต้องเป็นเพราะมีคนคอยช่วยอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นในค่ายทหารของข้าจึงต้องมีไส้ศึก เจ้าว่าใช่หรือไม่”
ยามนี้เจ๋อเหรินใจเย็นลงแล้ว เขายิ้มน้อยๆ “เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่มีทั้งเวลาและกำลังไปช่วยเหลือเชลยสงครามมากมายถึงเพียงนั้น”
เฉิงตั๋วคลี่ยิ้มเช่นกัน “เจ้าย่อมไม่ทำเรื่องชั่วแทนผู้อื่นอยู่แล้ว ในตอนที่ตงฟางเพิ่งมาถึง มีคนคิดอยากสืบหาความเป็นมาของเขา จึงหาโอกาสไปรื้อค้นกระโจมของเขา ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าการจัดวางภายในกระโจมนั้นจะเป็นค่ายกลเก้าวังสิบทิศ หลังคนผู้นั้นลงมือค้น ภายนอกมองดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่าง แต่แท้จริงกลับทำลายค่ายกลไปเสียแล้ว ดังนั้นการกระทำนี้จึงถูกเปิดเผยออกมา เจ้าว่าใช่หรือไม่”
เจ๋อเหรินมองเฉิงตั๋ว คลายยิ้มก่อนตอบกลับว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“วันนั้นอาซือไห่มารายงาน บอกว่าทหารม้าของหูตี๋เตรียมโจมตีค่ายเรากลางดึก ข้าให้หยางโหย่วหลินและจ้าวสุ่นแอบจัดวางกำลังพลซุ่มรออยู่ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกหนังสือถูกทหารของศัตรูทำลาย ตอนบ่ายข้าจึงได้เก็บโต๊ะภายในกระโจมใหญ่ ปรากฏว่าคืนนั้นทหารม้าชาวหูบุกโจมตีเข้ามาจริงๆ เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ข่าวสารไม่ได้หลุดออกไป อย่างไรก็ตามหลังบุกสังหารมาได้ครึ่งทาง กำลังเสริมก็ตามมาเพิ่มไม่น้อย มองจากร่องรอยดูเหมือนรู้แล้วว่าที่ทัพหน้ามีการดักซุ่มเอาไว้ เมื่อคำนวณเวลาดู ไส้ศึกผู้นี้จะต้องรู้เรื่องหลังบ่ายพอดี ดังนั้นข่าวสารจึงถูกส่งออกไปอย่างรีบร้อน ถึงได้ทำให้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นแล้วคนผู้นี้ก็จะต้องเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดที่เข้าออกกระโจมใหญ่ของข้าอยู่บ่อยๆ”
เจ๋อเหรินมองฉาฉาที่นอนสลบอยู่บนพื้น “ดังนั้นช่วงหลังนี้ท่านอ๋องจึงทรงทำตัวผิดไปจากปกติ พาสตรีมาอยู่ในกระโจมใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาสืบข่าวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วพยักหน้า “น่าเสียดายที่เจ้ายังคงหนักแน่นไม่มากพอ คิดอยากขับไล่นางออกไปทันที ถึงกับเอาเรื่องเล็กๆ ไม่เป็นเรื่องที่เกิดในเพิงหญิงบำเรอมาถามข้า หลังเกิดเรื่องข้าให้เจ้าจับตาดูฉาฉา เจ้ารู้ว่าข้าสงสัยนาง จึงคิดใช้นางเป็นตัวตายตัวแทน เพียงแค่ว่าปกติฉาฉาไม่ไปมาหาสู่กับใคร ดังนั้นเจ้าจึงลอบบอกข้าเป็นนัยๆ ว่าตงฟางกับนางเป็นพวกเดียวกัน แต่การลอบบอกเป็นนัยๆ ครั้งนี้ของเจ้ากลับทำให้เจ้าเผยพิรุธออกมาอีกครั้ง สาเหตุไม่มีอะไรอย่างอื่น นอกจากหากคนผู้หนึ่งบอกว่าคนคนหนึ่งมีปัญหา คนคนนั้นอาจมีปัญหาจริงๆ แต่ถ้าคนผู้หนึ่งบอกว่าคนอื่นๆ ทุกคนล้วนมีปัญหา เช่นนั้นตัวคนผู้นี้ก็มีปัญหาเองแล้ว”
เจ๋อเหรินร้อง “อ้อ” เสมือนได้รับการสั่งสอน
เฉิงตั๋วดึงแหวนน้าว ซึ่งทำจากหยกมันแพะ ที่นิ้วโป้งออกมาช้าๆ แล้วสวมกลับเข้าไปใหม่ “เมื่อวานตอนที่อาซือไห่กลับมา เจ๋ออี้อยู่ข้างกายข้า แต่เจ้าไม่อยู่ ตอนนั้นฉาฉาบังเอิญออกมาเดินเล่นที่นอกกระโจมพอดี เจ้าจึงอาศัยช่วงเวลานั้นนำขวดกระเบื้องเคลือบไปวางในกระโจมของข้า หลังฉาฉากลับมา…” เฉิงตั๋วมองไปยังฉาฉาที่ยังคงสลบไสล “ได้บังเอิญ…พบขวดกระเบื้องเคลือบขวดนั้นจึงหยิบออกไปโยนทิ้งในห้องสุขา ทำให้เจ้าเปลืองแรงไปโดยเสียเปล่า”
“ดังนั้นท่านอ๋องจึงทรงออกคำสั่งให้เฆี่ยนตีนาง ทั้งเพื่อหยั่งเชิงกระหม่อมแล้วก็หยั่งเชิงนางด้วย” สีหน้าเจ๋อเหรินเรียบเฉย พยักหน้าเบาๆ “เป็นกระหม่อมที่ใจร้อนไป คิดอยากเฆี่ยนนางให้ตาย นางจะได้ไม่มีโอกาสกล่าวแก้ตัว ทั้งข้อสงสัยเหล่านี้ก็ล้วนสามารถโยนไปให้นางได้ทั้งหมด หรือก็เป็นไปได้ว่านางอาจจะทนรับการเฆี่ยนตีไม่ไหว ยอมรับผิดขึ้นมาเองเพื่อให้ความทรมานจบลง”
คำพูดของเจ๋อเหรินเท่ากับยอมรับแล้ว เฉิงตั๋วไม่พูดอะไรอีก เจ๋อเหรินก็เช่นกัน นอกจากฉาฉาที่สลบอยู่ คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกว่าผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย ภายในกระโจมตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง