บทที่แปด
กว่าเฉิงตั๋วจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลาอีกสิบวันให้หลัง ได้ยินมาว่ามีคนไปรอต้อนรับค่อนข้างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ แต่ตงฟางไม่ได้ไปด้วย ยามบ่ายวันที่สอง ตงฟางคาดการณ์ว่าเขาคงไม่มีธุระปะปังอะไรแล้ว ถึงได้เดินทางไปที่จวนจิ้งหย่วนอ๋อง จวนอ๋องของเฉิงตั๋วตั้งอยู่ที่ตีนเขาฝั่งตะวันตกของเมือง ไม่นับว่าเป็นสถานที่เจริญรุ่งเรืองอันใด เหตุผลที่จวนจิ้งหย่วนอ๋องอยู่ที่นั่น พูดไปแล้วก็น่าขัน เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือที่นั่นมีบ่อน้ำพุร้อน ได้ยินจากช่างที่ทำงานซ่อมบำรุงจวนจิ้งหย่วนอ๋องเล่าว่า ห้องหับภายในจวนจิ้งหย่วนอ๋องต่างสร้างอย่างเปิดโล่งเรียบง่าย มีแค่สระน้ำเท่านั้นที่ก่อสร้างอย่างพิถีพิถันยิ่ง สามารถชักนำน้ำพุร้อนเข้าไปข้างในได้ เป็นสถานที่ที่อ๋องห้าชื่นชอบเป็นพิเศษ และเพื่อเรื่องวิเศษเรื่องเดียวนี้ เขาถึงกับยอมพักอยู่ทางตะวันตกของเมืองซึ่งอยู่ห่างจากวังหลวงไปไกล ไม่สนใจว่าทุกวันจะต้องขี่ม้าเร่งไปร่วมประชุมเช้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แม้ว่าในหนึ่งปีอ๋องห้าจะพักอยู่ในเมืองหลวงแค่เดือนสองเดือนเท่านั้นก็ตาม
จากทางใต้ของเมืองไปทางตะวันตก ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งชั่วยาม ตงฟางเดินผ่านถนนเส้นหนึ่ง เห็นเพิงขายขนมข้าวเหนียวซึ่งเป็นขนมที่ชาวบ้านมักกินบ่อยที่สุดในฤดูร้อน เขาจึงนั่งลงสั่งกินถ้วยหนึ่งเสียเลย ขนมข้าวเหนียวทำมาจากแป้งข้าวเหนียวกับข้าวเจ้า เสริมด้วยเมล็ดสน อบเชย พุทรา ก่อนนำมาวางบนโต๊ะจะโรยผงถั่วเหลืองอีกชั้น หวานแต่ไม่เลี่ยน นุ่มนิ่มลื่นคอ
ขนมของเมืองหลวงยังคงอร่อยเหมือนที่เคยกินเมื่อหลายปีก่อน ตงฟางรู้สึกชื่นใจจนสั่งชาเมล็ดซิ่ง มาดื่มอีกชาม ทันใดนั้นหูพลันได้ยินเสียงถอนหายใจเนิบช้าของสตรีโต๊ะข้างหลังโดยไม่ตั้งใจ “หลงจู๊หวังร้านแพรไหมที่มุมถนนผู้นั้น ระยะนี้ตามตอแยข้าไม่จบไม่สิ้น ชวนให้ผู้คนหงุดหงิดเสียจริง” น้ำเสียงสตรีนางนี้ทุ้มต่ำ แหบพร่าเล็กน้อย แต่ไม่ได้ฟังดูอ่อนโยน ทว่าให้ความรู้สึกดัดจริต
สตรีอีกคนพูดเสียงเบา “พี่สาวจะสนใจคนพรรค์นั้นไปทำไม ใช่ว่าไม่มีตัวเลือกอื่นเสียหน่อย”
สตรีที่พูดขึ้นก่อนหน้าคล้ายจะขวยเขินและลำพองใจอยู่บ้าง “น้องสาว เจ้านี่จริงๆ เลย เหตุใดจึงได้เอ่ยหยอกล้อข้าขึ้นมาแล้ว” พูดจบก็ไล่เรียงชื่อคุณชายสกุลจ้าว เฉียน ซุน หลี่ โจว อู๋ เจิ้ง หวังไปรอบหนึ่ง เป็นนัยว่าทุกคนต่างมาเกี้ยวนาง น้ำเสียงติดจะโอ้อวด สตรีที่อยู่ด้านข้างเพียงแค่ตอบรับสั้นๆ เอาใจนาง
ขณะกินช้าๆ ตงฟางก็ได้ฟังไปไม่น้อย ในตอนที่ลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไปก็มองไปทางโต๊ะนั้นคล้ายไม่เจตนา แต่ทันทีที่เห็น ต่อให้เขาได้รับการอบรมมาดีกว่านี้ก็ยังอดยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้
สตรีผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี นับไม่ได้ว่าเป็นหญิงงามสะพรั่ง นางแต่งหน้าหนาเตอะ สีของใบหน้ากับลำคอแตกต่างกันอย่างมาก ชาดที่ปาดบนใบหน้าขาวผ่องยังพอรับได้ แต่ริมฝีปากแดงสดนั้นเหมือนเพิ่งกินคนมา เครื่องประดับที่สวมใส่ก็สีสันจัดจ้านยิ่ง เมื่อรวมเข้ากับท่าทางขมวดคิ้วกลัดกลุ้มของนาง การที่ตงฟางจะยิ้มขันนิดๆ ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป
อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนี้ของตงฟางกลับไม่ได้ออกมาในเวลาที่เหมาะนัก ถูกสตรีผู้นั้นเห็นเข้าพอดี สีหน้ากลัดกลุ้มของนางชะงักไป ก่อนจะถลึงตาใส่เขา “เจ้ายิ้มอะไรกัน!”
ตงฟางถูกบรรยากาศกดดันผู้คนของนางทำให้ตกตะลึง ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ชั่วขณะต่อมาก็ยิ้ม ตอบว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากยิ้มเท่านั้น” พูดจบก็วางเงินลงบนโต๊ะแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากร้าน