เพิ่งจะออกมา เสียงเนิบช้าของสตรีผู้นั้นก็ดังมาจากด้านหลัง “เฮ้อ พวกเติงถูจื่อ พวกนี้น่ารำคาญเสียจริง”
ตงฟางได้ยินแล้วเข่าอ่อนไปเล็กน้อย เหล่าสตรีที่เดิมสนทนากับนางอยู่ด้านข้างหัวเราะขบขัน
ตงฟางเดินไปหลายช่วงถนนถึงขจัดความกลุ้มใจที่ได้พบเจอกับเรื่องประหลาดได้ในที่สุด ในตอนที่มาถึงประตูทิศตะวันตกของวังหลวง เขาเดินไปซื้อบันทึกประตูวังมาหนึ่งแผ่น ขุนนางเล็กๆ ผู้นั้นรับเงินไป ดึงบันทึกแผ่นหนึ่งมาให้เขาอย่างไม่ใส่ใจนัก รอยน้ำหมึกบนนั้นจืดจางอย่างมาก
สิ่งที่เรียกว่าบันทึกประตูวังคือช่องทางข่าวสารของราชสำนัก ทุกๆ สิบวันราชสำนักจะออกเอกสารมาฉบับหนึ่ง บันทึกเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาข่าวสารในช่วงเวลานั้นๆ เพียงแต่บันทึกมีราคาแผ่นละสิบเหรียญทองแดง ชาวบ้านทั่วไปรู้สึกว่าแพงมาก จึงมีน้อยคนนักที่จะซื้อ
ตงฟางถือบันทึกแผ่นนั้นไว้ในมือ ไม่ได้รีบร้อนอ่านดู ที่ใต้กำแพงวังหลวงมีคนประมาณสี่ห้าคนยืนล้อมรอบอ่านกระดาษสีเหลืองขาดรุ่งริ่งแผ่นหนึ่ง ตงฟางเดินเข้าไป เงยหน้ามอง แล้วก็พบว่าเป็นพระราชโองการตำหนิพระองค์เองใบหนึ่ง เกรงว่าจะแปะอยู่เป็นเวลานานสักพักหนึ่งแล้ว บนนั้นเขียนว่า ‘นับตั้งแต่เราครองราชย์มา สืบเสาะบากบั่น ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ฟ้า บำรุงสุขปวงประชา อย่างไรก็ตาม ชานเมืองหลวงกลับมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัว คร่าชีวิตมนุษย์ ทำให้ราษฎรอยู่อย่างไม่สงบสุข ล้วนเป็นเพราะเราขาดคุณธรรม ไม่ดูแลบ้านเมือง ขุนนางทั้งบนล่างไม่ปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้เกิดเหตุผิดธรรมชาติเป็นสัญญาณเตือน…’
ตงฟางกวาดตามองคร่าวๆ รอบหนึ่ง จากนั้นจึงหันตัวเดินไปทางจวนจิ้งหย่วนอ๋อง เป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อนเขาเคยมาเมืองหลวง อีกทั้งหลายวันมานี้ก็จดจำถนนหนทางได้แล้ว ดังนั้นจึงเดินไปกางบันทึกประตูวังแผ่นนั้นออกอ่านไป ในนั้นเขียนเรื่องที่เฉิงตั๋วรบชนะชาวหูเมื่อสิบวันก่อน เรื่องถอดถอนขุนนางกรมปกครองสามคน เรื่องการเพาะปลูกเตรียมดิน เรื่องไท่เฟย อาวุโสผู้หนึ่งประชวรหนัก เรื่องฮ่องเต้ทรงพระราชทานอภัยโทษเพื่อเป็นการขอพรให้ไท่เฟยแข็งแรง เป็นต้น
หลังตงฟางกวาดตาอ่านลวกๆ รอบหนึ่งแล้วก็พับเก็บเข้าสาบเสื้อ เขาเดินผ่านตรอกเล็กแห่งหนึ่งไปทางทิศตะวันตก สามารถมองเห็นตัวตำหนักของจวนจิ้งหย่วนอ๋องจากที่ไกลๆ ได้แล้ว เมื่อเดินไปถึงปากตรอก ทางด้านซ้ายมือพลันมีคนสองคนเดินมา เป็นเด็กสาวผู้หนึ่งจูงสาวใช้อีกคน ตงฟางเกือบชนกับพวกนาง
บนใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นคลุมด้วยผ้าโปร่ง เปิดเผยเพียงดวงตา อย่างไรก็ตาม แค่เพียงดวงตาคู่เดียวก็มากเพียงพอให้คนลืมไม่ลงแล้ว นั่นเป็นดวงตาที่งดงามมากคู่หนึ่ง ดวงตาของฉาฉาเองก็ทำให้คนเห็นแล้วลืมไม่ลง ละสายตาไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่แววตาของฉาฉาลึกล้ำเก็บงำ ราวกับสระมรกตลึกที่สะท้อนภาพท้องฟ้าใสกระจ่าง แต่แววตาของเด็กสาวผู้นี้กลับเหมือนสายธารไหลเอื่อย แฝงไปด้วยสีสันอันร่าเริงสดใส
นางจูงสาวใช้เดินเลี้ยวขวาเข้าไปในอีกแยกหนึ่ง ตงฟางก็บังเอิญต้องเดินไปทางเดียวกันพอดีจึงเดินตามไป สาวใช้ข้างกายเด็กสาวกระซิบกระซาบบางอย่างกับนาง นางหันกลับมาตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตงฟางมองไปรอบๆ ในตรอกแคบแห่งนี้ไม่มีใครอีก นางคงหลงคิดว่าเขาจงใจเดินตาม จึงผ่อนฝีเท้าลง ปล่อยให้เด็กสาวผู้นั้นเดินนำไปก่อนเสียเลย
เมื่อเดินเลี้ยวอีกสองครั้งก็เข้าใกล้ถนนหลักของจวนจิ้งหย่วนอ๋อง ที่นี่ไม่ได้มีผู้คนบางตาเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว ตงฟางเดินเลี้ยวผ่านปากตรอกแห่งหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นเด็กสาวผู้นั้นเดินชายเสื้อพลิ้วไสวอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง สาวใช้รู้สึกว่าด้านหลังมีคนจึงหันหน้ากลับมามอง ก่อนจะรีบร้อนบอกเด็กสาว เด็กสาวหันกลับมามองสองครั้งติด คิ้วขมวด
ตงฟางเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนางก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือข้าจะหน้าตาคล้ายอันธพาล? ทั้งยังเป็นประเภทที่ชอบหยอกเย้าสตรี? เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง ทันทีที่ออกจากภวังค์ความคิด เขาก็ไม่เห็นเด็กสาวผู้นั้นแล้ว ตงฟางพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงหยุดเดิน รอบข้างเขาปรากฏบุรุษชุดดำสี่คนกระโจนลงมายืนขวางทางเอาไว้แล้ว หนึ่งในนั้นชี้เขา พูดว่า “เจ้าอันธพาลขวัญกล้า กลางวันแสกๆ เยี่ยงนี้ เจ้าเดินตามคุณหนูบ้านข้าทำไมกัน”
ตงฟางมองไปรอบๆ บนกำแพงจวนจิ้งหย่วนอ๋องทางถนนด้านซ้ายค่อนไปด้านหลังมีประตูข้างบานหนึ่งที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา ส่วนถนนด้านขวาค่อนไปข้างหน้าเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ใต้ชายคามีร้านค้าเล็กๆ บัดนี้คนบางส่วนที่อยู่ตรงนั้นต่างลุกขึ้นมาชะเง้อคอมองแล้ว ตงฟางยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ถนนในใต้หล้ามีให้คนในใต้หล้าเดิน คุณหนูเจ้าเดินได้ ข้าเองก็เดินได้ เหตุใดจึงกลายเป็นเดินตามไปเสียเล่า”