คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็น “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปแก้ตัวที่จวนว่าการเถอะ” พูดจบก็ต้องการจะลงมือ
ตงฟางคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดถึงจวนว่าการ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าโชคดีที่ที่แห่งนี้เป็นบนถนน มีชาวบ้านเดินผ่านไปมา หากก่อเรื่องใหญ่โตให้ข่าวแพร่กระจายออกไป ก็จะกลายเป็นคนบางคนใช้บารมีข่มคน อำนาจเหนือกฎหมาย รังแกราษฎรตามใจชอบ…
ตงฟางคิดได้ดังนั้นจึงไม่เอ่ยล้อเล่นอีก ยื่นมือซ้ายออกไปกำเป็นหมัด ยกนิ้วโป้งขึ้น “ข้ากับนายท่านของพวกเจ้ามีนัดหมายกัน ของสิ่งนี้เป็นหลักฐาน หากเจ้าไม่รู้จักก็จงเรียกหัวหน้าของเจ้ามาถามเสีย”
บุรุษชุดดำเห็นบนนิ้วโป้งของเขามีแหวนน้าวหยกมันแพะอยู่วงหนึ่ง สีหยกเกลี้ยงเกลาเป็นของชั้นเลิศ ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือหลอก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ผายมือ กล่าว “เชิญ”
ตงฟางเห็นเขาเปิดทางให้ตนเดินกลับไปทางที่เพิ่งเดินผ่านมา จึงเชิดหน้าขึ้น “ข้าใช้ชีวิตผ่าเผยตรงไปตรงมา ไม่ชอบเดินเข้าประตูข้าง จวนของนายท่านเจ้าไม่มีประตูใหญ่หรือไร”
บุรุษชุดดำผู้นั้นพลันมีโทสะ แต่เห็นตงฟางมีสีหน้าผ่อนคลาย จึงได้แต่เดินนำไปไม่พูดอะไร ตงฟางก็ไม่เอ่ยปากอะไรเช่นกัน เดินตามเขาไปเงียบๆ เมื่อเลี้ยวอีกครั้งก็เป็นถนนหลักของจวนจิ้งหย่วนอ๋องแล้ว ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ความครึกครื้นบนถนนเพิ่มขึ้นหลายส่วน บุรุษชุดดำสี่คนเมื่อครู่นี้ ตอนนี้เหลือเพียงคนนำทางผู้เดียว อีกสามคนที่เหลือไม่ได้ส่งเสียงสักคำก็หายตัวไปโดยไม่ทราบทิศทางประหนึ่งเงาเจอแสง
เมื่อมาถึงประตูหลัก เสาคานตั้งสูง ด้านหน้ามีองครักษ์ถือจี่ยืนรักษาการณ์อยู่ บุรุษชุดดำผู้นั้นเดินนำตงฟางเข้าไปทางประตูรอง ด้านในประตูมีอาลักษณ์ของจวนจิ้งหย่วนอ๋อง อาลักษณ์สอบถามเทียบเชิญจากตงฟาง เขาตอบว่าไม่มี อาลักษณ์ผู้นั้นจึงกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง แล้วให้ลงนามในกระดาษแผ่นหนึ่ง ตงฟางเขียนลงไป ก่อนจะเดินตามบุรุษชุดดำไปข้างหน้าต่อ
เป็นเพราะเฉิงตั๋วคุมกำลังทหาร องครักษ์ที่ยืนอยู่ภายในจวนจิ้งหย่วนอ๋องนี้จึงล้วนเป็นทหารจากค่ายอารักขาเมืองหลวง ทั้งสองคนเดินมาถึงในห้องแยกเปิดโล่งแห่งหนึ่ง บุรุษชุดดำเดินไปคารวะชายชราซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แล้วทำท่าบอกให้ตงฟางเข้าไปพูดคุยกับเขา จากนั้นจึงล่าถอยออกไป
ชายชราผู้นั้นเงยหน้า มองประเมินตงฟางแวบหนึ่ง ถาม “มีเรื่องอันใด”
ตงฟางก้าวไปข้างหน้า ถอดแหวนน้าววงนั้นออก วางบนโต๊ะ “ข้ามีนัดกับท่านอ๋องห้า วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมคารวะ”
ชายชราหยิบแหวนน้าวขึ้นดู ก่อนลุกขึ้นยืน ประคองส่งแหวนน้าวคืนให้ด้วยสองมือ เอ่ยอย่างไม่นอบน้อมทว่าก็ไม่เย่อหยิ่ง “ข้าน้อยสกุลอวี๋ เป็นข้าหลวงฝ่ายในของจวนจิ้งหย่วนอ๋อง ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องราวทั้งภายในและภายนอกจวนโดยเฉพาะ ตอนนี้ท่านอ๋องทรงกำลังรับแขกอยู่ เชิญคุณชายติดตามข้าไปรอทางด้านนั้นสักครู่เถอะขอรับ”
ข้าหลวงฝ่ายในจวนอ๋องของเฉิงตั๋วคือขุนนางลำดับหลักขั้นหกของราชสำนัก ตงฟางจึงให้เกียรติตามมารยาทด้วยเช่นกัน
ชายชราเดินผ่านประตูลานมาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อครู่นี้ภายในตำหนักมีสาวใช้สองคนเดินออกมา ส่วนบรรดาทหารที่พกอาวุธต่างไม่เข้ามาหลังกำแพงนี้ ตงฟางถึงตระหนักว่าที่นี่เป็นส่วนในของจวนจิ้งหย่วนอ๋องแล้ว จึงติดตามอยู่ด้านหลังข้าหลวงฝ่ายในอย่างสำรวม สายตาไม่ว่อกแว่ก
เมื่อมาถึงตำหนัก ข้างในมีข้ารับใช้ทั่วไปบางส่วนยืนอยู่ ชายชราหันไปเอ่ยกับข้ารับใช้หญิงอายุประมาณสามสิบปีผู้หนึ่ง “หลี่หมัวมัว* อยู่หรือไม่”
บ่าวหญิงผู้นั้นตอบกลับ “เมื่อครู่เดินไปทางห้องอาหาร อีกประเดี๋ยวก็กลับมาเจ้าค่ะ”
ข้าหลวงฝ่ายในชรากล่าวว่า “คุณชายท่านนี้เป็นแขกที่ท่านอ๋องทรงเชิญมา ประเดี๋ยวรบกวนแจ้งแก่หลี่หมัวมัวด้วย ข้าขอตัวก่อนแล้ว”
บ่าวหญิงผู้นั้นรับคำ ก่อนจะพาตงฟางเข้าไปรอในห้องด้านข้าง แล้วยกชามาให้