ตงฟางรออยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ การประชุมเช้าถึงได้จบลง ฮ่องเต้ทรงรั้งตัวขุนนางขั้นสูงให้ไปปรึกษาต่อที่ห้องทรงพระอักษรฝั่งเหนือ เฉิงตั๋วจึงส่งเจ๋ออี้มาเรียกตัวเขาไป ตงฟางเดินตามองครักษ์ผู้หนึ่งผ่านคานเสาสลักลายตลอดเส้นทาง กระทั่งมาถึงห้องทรงพระอักษรฝั่งเหนือ หลังขันทีกราบทูล ตงฟางจึงเข้าไป เขาหมอบกราบคำนับ แจ้งชื่อเสียงเรียงนามของตน จากนั้นหูก็ได้ยินสุรเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
ตงฟางแค่ได้ยินก็สัมผัสได้ว่าลมปราณหลักในน้ำเสียงของคนผู้นี้คล้ายจะไม่เพียงพอ เมื่อลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองก็พบผู้เป็นฮ่องเต้ เฉิงซั่ว พี่ชายคนรองร่วมมารดาของเฉิงตั๋ว ประทับอยู่ด้านหลังโต๊ะ บนเสื้อคลุมแพรปักลายมังกรห้าเล็บ มีพระชนมพรรษาประมาณสี่สิบ
เฉิงตั๋วยืนอยู่ทางซ้ายของโต๊ะ ด้านล่างซ้ายขวามีขุนนางจำนวนหนึ่งยืนเรียงราย ล้วนสวมชุดขุนนางขั้นหนึ่งขั้นสองกันทั้งสิ้น ตงฟางกวาดตามองดูคราหนึ่งก็เก็บสายตากลับมา เฉิงตั๋วเอ่ยกับเฉิงซั่ว “เสด็จพี่ คนผู้นี้ก็คือตงฟางฮู่ที่กระหม่อมพูดถึง”
เฉิงซั่วพยักพระพักตร์ ตรัส “เป็นบุคคลที่มีความสามารถจริงๆ”
เฉิงตั๋วกล่าวต่อ “ที่กระหม่อมแนะนำเขามาที่นี่ ไม่ได้เป็นเพราะคนผู้นี้คล้ายคลึงกับกระหม่อมที่ชำนาญด้านการรบ แต่เขามีแผนกลยุทธ์ทางด้านความเป็นอยู่ของราษฎรและการเมืองการปกครอง ทุกวันนี้กำลังในราชสำนักเรายังไม่แกร่งกล้า จำเป็นต้องดูแลอย่างเร่งด่วน ดังนั้นกระหม่อมถึงได้นำเขามาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงซั่วคล้ายสนพระทัยขึ้นมาแล้ว ทรงหันไปตรัสกับตงฟาง “บัดนี้บ้านเมืองอ่อนแอ เสบียงและทรัพย์สินในคลังหลวงล้วนไม่อุดมสมบูรณ์ แต่การเก็บภาษีก็ทำให้ขุนนางกับราษฎรไม่ลงรอยกันอยู่เสมอ เราได้ยินมาว่าเจ้าค่อนข้างมีชื่อเสียงที่บ้านเกิด ดังนั้นเจ้าจะสามารถพูดสภาพความเป็นจริงของชาวบ้าน และหลักการแก้ไขกับเราได้หรือไม่”
เดิมตงฟางออกเดินทางพเนจรไปทั่ว ได้เห็นโรคภัยมาไม่น้อย ฉะนั้นหลังได้ฟังเฉิงซั่วตรัสออกมาสั้นๆ ก็สัมผัสได้ว่าพระองค์จะต้องมีโรคภัยแฝงอยู่ ส่งผลให้ม้ามอ่อนแอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ ตงฟางจึงเปิดปากตอบคำถาม “พ่ะย่ะค่ะ แต่ก่อนชาวบ้านในแถบชายแดนดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก อย่างไรก็ตามการทำสงครามก่อให้เกิดความชุลมุน ม้าของชาวหูเหยียบย่ำผืนดิน ทำให้ส่วนใหญ่ไม่อาจเพาะปลูก ที่ปลูกได้ก็ไม่อาจเก็บเกี่ยว ดังนั้นชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ตามชายแดนจึงยากจะดำเนินต่อไป หากฝ่าบาททรงต้องการปกครองให้ปวงประชาสงบสุขเป็นเวลานาน จำเป็นต้องปราบปรามชาวหูพ่ะย่ะค่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม ศึกหนานสวีวุ่นวาย ซ้ำบ้านเมืองยังต้องเผชิญกับภัยแล้งและน้ำท่วมติดต่อกัน หากทำศึกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเงิน เสบียง คน ม้า ล้วนมีไม่เพียงพอ แต่หากราชสำนักเรียกเก็บเงิน เสบียง และเกณฑ์ทหารมากเกินไป ก็จะกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจได้ง่าย การเก็บภาษีที่ผ่านมากำหนดตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว วิธีการเช่นนี้ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่าใดนัก” ตงฟางพูดมาถึงตรงนี้ก็เงียบลงครุ่นคิด
เฉิงซั่วก็ทรงนิ่ง ไม่ตรัสอะไร ขุนนางกรมอากรที่อยู่ด้านข้างทนไม่ไหว พูดขึ้นมาว่า “อิงจากความเห็นของเจ้า หากการเก็บภาษีไม่กำหนดตามจำนวนสมาชิก ก็ให้ราษฎรอยากจ่ายเท่าไรก็จ่ายเท่านั้น นี่จึงจะเรียกว่ายืดหยุ่นใช่หรือไม่”
ตงฟางตอบ “มิใช่เช่นนั้น สิ่งที่สงครามต้องใช้คือกำลังคนและสิ่งของ ผู้คนในใต้หล้ามีร่ำรวยมียากจน หากใช้ตัวเลขที่แน่นอนไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้คนทุกคน จะส่งผลให้ผู้ที่อยู่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปเกิดความแค้นเคือง ข้าคิดว่ามิสู้ให้คนรวยออกเงิน คนจนออกแรง และออกกฎหมายให้สามารถจ่ายภาษีเป็นเงิน เสบียง แพรพรรณ หรือแรงงาน หากจ่ายภาษีเป็นเงินหรือเสบียงมากหน่อยก็สามารถเลี่ยงไม่ต้องเกณฑ์ทหารได้ หากเงินหรือเสบียงมีไม่มากก็มาเกณฑ์ทหารแทนการจ่ายภาษี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถสะสมได้ทั้งกำลังคนและสิ่งของ”
ขุนนางอากรผู้นั้นหลังจากพิเคราะห์อย่างละเอียด ดวงตาก็สว่างวาบ หันไปทูลเฉิงซั่ว “ที่ผ่านมาตระกูลร่ำรวยมักติดสินบนขุนนางให้ละเว้นการเกณฑ์ทหาร ขุนนางชั้นล่างบีบบังคับให้คนจนจ่ายภาษี หากวิธีการนี้ใช้ได้ จะต้องทำให้ขุนนางยากที่จะเรียกสินบน ราษฎรไม่ต้องปิดบังจำนวนภาษี นับเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงซั่วแย้มสรวล “ไม่เลว แต่ยังจำเป็นต้องลงรายละเอียดแต่ละรายการ เจ้าชื่อตงฟางฮู่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางขานรับ