“เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นซั่นฉีฉางซื่อ ขั้นห้า ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งว่างงาน เจ้ากลับไปคิดวิธีการของเจ้าให้ดีๆ แล้วเขียนฎีกาให้น้องห้าส่งขึ้นมา พวกเจ้ากรมอากรเองก็ให้ไปปรึกษากัน ร่วมกันวางแผน”
ทุกคนส่งเสียงขานรับพร้อมกัน ตงฟางรู้สึกว่าเฉิงซั่วทรงทำงานได้คล้ายเฉิงตั๋ว ขอแค่มีประโยชน์ก็สามารถแต่งตั้งให้รับผิดชอบได้ แต่การทำเช่นนี้ก็สร้างแรงกดดันแก่ผู้คนได้ง่ายเช่นกัน
เมื่อทุกคนพูดคุยกันลงตัวก็เตรียมจะแยกย้ายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉิงตั๋วจะเอ่ยปากขึ้นมา “เสด็จพี่ ก่อนหน้านี้ท่านอัครเสนาบดีอาศัยเหตุผลที่ว่าเสบียงไม่เพียงพอ เกลี้ยกล่อมให้เกิดการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี กระหม่อมเห็นว่าตอนนี้การทำสงครามสยบชาวหูเป็นเรื่องจำเป็น บ้านเมืองเราก่อตั้งมาหลายสิบรุ่น บัดนี้รอบด้านต่างยอมศิโรราบ ที่เหลืออยู่คือพวกทางเหนือ บัดนี้พวกมันถูกกระหม่อมทำร้ายจนเจ็บหนัก สามารถทำลายรากฐานให้หมดสิ้น เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปตลอดชีวิตได้พอดีพ่ะย่ะค่ะ
การเจรจาสงบศึกก็เหมือนคนผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตโดยมีหนี้ ดอกเบี้ยเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน วันหน้ายิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หากไม่มีหนี้ ต่อให้ตอนนี้จะยากลำบาก แต่ภายหน้าย่อมสามารถเข้มแข็งขึ้นมาได้แน่นอน กระหม่อมไม่สนใจว่าทางเหนือจะหนาวเหน็บ ถึงขั้นขัดพระราชโองการ เดินทางไปสยบหูตี๋ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสงบสุขอันยาวนานของแว่นแคว้น ดังที่ตงฟางพูด ใช้วิธีการนั้นสะสมกำลังคนและเสบียง รอกระทั่งหลังศึกตัดสินผ่านพ้น รอบด้านสงบสุข จากนั้นก็สามารถพักฟื้นชีวิตราษฎร สร้างความเจริญรุ่งเรืองได้” ทันใดนั้นเฉิงตั๋วก็จัดชุดแล้วหมอบคำนับ “กระหม่อมเสนอให้ตงฟางฮู่รั้งอยู่ที่เมืองหลวง หาวิธีเพิ่มเสบียง เกณฑ์ทหารหาญ รับผิดชอบการเตรียมทำศึกตัดสินกับหูตี๋ให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางหันไปมองเขา กัดฟันอย่างห้ามไม่ได้
เฉิงซั่วทรงขมวดคิ้ว ตรัสว่า “น้องห้า อีกฝ่ายแกร่งพวกเราอ่อนแอ อีกทั้งตอนนี้พวกเขายังถอยเข้าไปในเมืองหลวง ไม่ได้ข้ามชายแดนมา ทหารของเรายัง…”
“ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน อากาศทางเหนือเริ่มกลับมาอบอุ่น เป็นจังหวะเหมาะจะเดินทัพพอดี เดือนห้ากลับไปยังเยี่ยนโจว ใช้เวลาสามเดือนกำราบศัตรู หากไม่อาจชนะ กระหม่อมยินดียุติสงคราม ลาออกและรับโทษทัณฑ์!” ในตอนที่เฉิงตั๋วเอ่ยประโยคนี้ออกมา บรรดาขุนนางบ้างก็สูดลมหายใจบ้างก็ขมวดคิ้ว แต่ตงฟางกลับยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง
เฉิงซั่วทรงยังไม่ทันได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากด้านนอก “ไม่ได้!”
ชายชราเครายาวหงอกขาวผู้หนึ่ง สวมชุดขุนนางสีม่วงเข้ม ถือฮู่ งาช้างพุ่งเข้ามา เขาถวายความเคารพเฉิงซั่ว ในตอนที่เงยหน้าขึ้น สีหน้าบนใบหน้าคล้ายจะโมโหอย่างมาก
เฉิงซั่วทรงอดแย้มสรวลไม่ได้ รีบร้อนตรัส “ท่านอัครเสนาบดีเซียวลุกขึ้นได้” ส่วนเฉิงตั๋วกลับลอบขมวดคิ้ว
เซียวอวิ๋นซานหยัดกายขึ้น ชี้หน้าเฉิงตั๋วกล่าวเสียงดุดัน “ท่านอ๋องทรงไม่ได้ดูแลการปกครองภายใน ไม่รู้ความทุกข์ยากของราษฎร เงินทุนในการศึก ราษฎรเป็นผู้จ่าย หากไร้ราษฎรจะยังเป็นบ้านเมืองได้อย่างไร!”
เฉิงตั๋วลอบถอนหายใจ พูดอย่างไม่เร่งไม่ร้อน “ใต้เท้าอัครเสนาบดีไม่ดูแลศึกภายนอก ไม่รู้ว่าขุนเขาธาราเรางดงาม พวกชนเผ่าป่าเถื่อนภายนอกจึงจับจ้องตาเป็นมัน หากไร้บ้านเมืองจะยังมีราษฎรได้อย่างไร”
เฉิงซั่วทอดพระเนตรเห็นว่ากำลังจะมีเรื่อง จึงทรงรีบห้ามปรามเซียวอวิ๋นซานพร้อมตรัสกับเฉิงตั๋ว “ที่น้องห้าพูดเมื่อครู่นี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในเมื่อเขาพูดถึงบทลงโทษมาแล้ว ก็ให้เป็นไปตามที่เขาบอกเถิด เขาเสนอให้ขุนนางตงฟางผู้นี้ไปหาวิธีเพิ่มทุนทรัพย์ทางการทหารให้เขา ภายในสามเดือนหากเขาไม่สามารถกำราบศัตรูได้ เราจะต้องลงโทษเขาอย่างหนักแน่นอน”
เซียวอวิ๋นซานกำลังจะพูดต่อ เฉิงซั่วก็รีบตรัส “เจ้าคงมาปรึกษาเรื่องเมื่อวานเป็นแน่ มาๆ”
เฉิงตั๋วได้รับสัญญาณเป็นนัย จึงถวายความเคารพแล้วล่าถอยออกมา ตงฟางเองก็ถวายความเคารพฮ่องเต้และคำนับขุนนางขั้นสูงทั้งหลาย เซียวอวิ๋นซานถลึงตาใส่เขาอย่างอำมหิตคราหนึ่ง ตงฟางไม่สนใจ เพียงประสานมือคำนับ
ทันทีที่ทั้งสองคนเดินเลี้ยวผ่านห้องทรงพระอักษรนั้นมา เฉิงตั๋วก็เอ่ยกับตงฟางอย่างหนักแน่นยิ่ง “ตอนนี้ภาระหนักนี้เป็นของเจ้าแล้ว หากรับไม่ไหว วันหน้าก็ลำบากแล้ว” พูดจบก็ตบบ่าเขา “ข้าคาดหวังกับเจ้านะ!”
ตงฟางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่จ้องเขาพลางพูดว่า “ท่านอ๋องทรงดีดลูกคิดคำนวณเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้วหรือ กระหม่อมรู้ว่าพ่อตาของท่านอ๋องกับท่านอ๋องไม่ลงรอยกันอย่างมาก เขาเป็นขุนนางเก่าของฮ่องเต้พระองค์ก่อน หากเขาพูดว่าไม่ ในราชสำนักไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าได้ ท่านอ๋องทรงต้องการทำสงคราม หากเขาไม่เห็นด้วย เงินทุนในการศึกจะมีผู้ใดหามาให้อีก ตัวท่านอ๋องตรัสจบก็เสด็จกลับเยี่ยนโจวไปแล้ว แต่กลับทรงยัดเยียดงานลำบากนี้ใส่มือกระหม่อม ให้กระหม่อมถือไว้ แม้ลวกมือก็โยนทิ้งก็ไม่ได้ จิ๊ๆ พี่สีเจี้ยนช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก”
เฉิงตั๋วยิ้ม “ข้าไม่เคยชอบคนที่ปากพูดจาสูงส่ง แต่ยามลงมือจริงกลับไร้ฝีมือ ยิ่งไม่มีทางใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวมาแนะนำคนไร้ประโยชน์ หากเจ้าทำได้ดีก็เป็นความดีความชอบของเจ้า หากทำได้ไม่ดี เช่นนั้นก็โทษข้าไม่ได้เช่นกัน”