เจ๋อเหรินนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มและพูดเสียงเศร้า “ในเมื่อท่านอ๋องทรงรู้ความจริงมานานแล้ว เหตุใดจึงจงใจผ่อนปรนมาจนถึงวันนี้เล่า”
เฉิงตั๋วเอ่ยเน้นทีละคำ “เจ๋อเหริน เจ้าติดตามข้ามาสิบสองปี ข้าเข้าร่วมศึกครั้งแรกตอนอายุสิบห้า เจ้าอายุสิบสาม ตั้งแต่นั้นเจ้าก็ติดตามอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา เวลาผ่านมาถึงวันนี้ ข้าเองไม่อยากทรมานเจ้า เพียงแค่อยากรู้ว่าเพราะอะไร เจ้าบอกข้ามา นายท่านผู้นั้นของเจ้าเป็นใคร”
เจ๋อเหรินมองเขาเงียบๆ พลันร้องเรียก “ท่านอ๋อง…”
เฉิงตั๋วเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าอีก!”
เจ๋อเหรินคุกเข่าก้มหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เจ๋อเหรินไม่เต็มใจทำร้ายท่านอ๋องจริงๆ แต่ในเมื่อทำลงไปแล้ว ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ล้วนไม่มีเหตุผลมากพอ เป็นเพราะว่าเมื่อสิบสองปีก่อนกระหม่อมก็ไม่ใช่คนของท่านอ๋องอยู่แล้ว นามของท่านผู้นั้น ขอท่านอ๋องทรงอภัยที่กระหม่อมไม่อาจพูด”
เฉิงตั๋วจ้องเขาสักพักถึงค่อยพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ๋ออี้ เอาดาบให้เขาจัดการตัวเองเถิด”
ที่ผ่านมาเจ๋ออี้กับเจ๋อเหรินอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด เป็นคนที่คุ้นเคยกันที่สุด แต่ในยามนี้เจ๋ออี้ก็ได้แต่ปลดดาบข้างเอวลง เดินเข้าไปยื่นส่งให้เจ๋อเหริน เจ๋อเหรินรับมา มองมันเงียบๆ สักพักจึงค่อยเงยหน้ามองเฉิงตั๋ว คิดอยากจะพูดอะไร ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูด เขาเลื่อนมือชักดาบออกจากฝัก
เฉิงตั๋วเอ่ย “หากเจ้ามีเรื่องจะขอร้อง บางทีข้าอาจจะรับปากเจ้า”
เจ๋อเหรินส่ายหน้า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วแค่นเสียงดูแคลนเบาๆ เอ่ยเนิบช้า “เจ้าหยิ่งทระนงเกินไป ยินยอมตายจากไปด้วยความเสียดาย ทว่าไม่ยอมพูดความจริงออกมา”
เจ๋อเหรินยิ้มเย้ยหยันตัวเอง แต่แทนที่จะพูดว่ายิ้ม มิสู้พูดว่ามุมปากกระตุกเล็กน้อยจะดีกว่า เขาวางดาบพาดขวางคอ เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงลืมคนอกตัญญูอย่างเจ๋อเหรินไปนับแต่นี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบก็ขยับแขน ปาดคอปลิดชีพตัวเอง
ทุกคนในกระโจมมองเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะสีหน้าเฉิงตั๋วเคร่งขรึมเย็นชา คนอื่นๆ จึงไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา
ตงฟางมองฉาฉาที่อยู่บนพื้น ในใจคิดว่าแต่ละเหตุผลของนางเมื่อครู่ มองดูคล้ายมีเหตุมีผล ทว่าก็เป็นเหตุผลที่พอฟังได้อย่างฝืนทน แต่ให้ตั้งใจสืบค้นต่อก็หาพิรุธไม่พบอยู่ดี มิใช่เพราะฉาฉาบริสุทธิ์ แต่เป็นเพราะนางแสดงได้ดีเกินไปแล้วจริงๆ
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เฉิงตั๋วจึงหันมาสั่งเจ๋ออี้ “เอาเจ๋อเหรินไปฝังเสีย” เจ๋ออี้รับคำ ในดวงตาฉายแวว ‘กระต่ายตายจิ้งจอกอาลัย’ อยู่บ้าง เฉิงตั๋วเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ในใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมาน้อยๆ ทว่าไม่พูดอะไร ไม่สนใจคนอื่นๆ ภายในกระโจม เพียงเดินไปคว้าตัวฉาฉาขึ้นมา
ฉาฉาเจ็บปวดอย่างมากจนร่างกายสั่นสะท้านน้อยๆ นางฟื้นขึ้นช้าๆ เห็นว่าเฉิงตั๋วกำลังอุ้มตนเดินไปทางนอกกระโจม หัวใจจึงลอบสงบลง นางสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกเหมือนร่างกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จึงเอนพิงบนหัวไหล่เฉิงตั๋ว ปล่อยให้ตนหมดสติไปอีกครั้งเสียเลย