นับตั้งแต่หมดสติไปวันนั้น ฉาฉาก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีก เฉิงตั๋วใช้กำลังภายในหยั่งชีพจรนาง รู้สึกว่าอาการไม่ได้ร้ายแรงอะไร ไม่ควรจะหมดสติไม่ฟื้นเช่นนี้ ตงฟางจับชีพจรนางอยู่นาน รู้สึกว่าชีพจรสม่ำเสมอ น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร ที่ไม่ตื่นเสียทีน่าจะเป็นเพราะตัวนางเองไม่อยากตื่น
“ตัวเองไม่อยากตื่น?” เฉิงตั๋วไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน
“บางครั้งตื่นขึ้นมายังมิสู้หมดสติ ดังนั้นจึงไม่ฟื้น นี่ไม่ใช่การตั้งใจทำ และก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากบาดแผล การหลีกเลี่ยงอันตรายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
น้อยครั้งที่เฉิงตั๋วจะไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก ทั้งยังรู้สึกเหมือนว่าตงฟางกำลังตำหนิเรื่องที่เขาสั่งให้เฆี่ยนฉาฉา จึงไม่พูดอะไรอีก แต่เพิ่งผ่านไปหนึ่งวัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ฉาฉากลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้าง มองมาที่เฉิงตั๋วด้วยอาการตื่นตกใจ
เฉิงตั๋วพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ไม่อยากจะตื่นแต่ก็ต้องตื่นเพราะหวาดกลัวข้า ดูเหมือนข้าควรอ่อนโยนกว่านี้หน่อย”
ผ่านไปเช่นนี้อีกหลายสิบวัน แม้บาดแผลของฉาฉาจะยังไม่หายดีทั้งหมด ทว่าก็สามารถลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวได้แล้ว วันที่สองหลังนางฟื้นขึ้นมา เฉิงตั๋วก็จับนางอาบน้ำตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง แล้วนำกลับไปปล่อยไว้บนเตียง
ส่วนที่ว่าเหตุใดเฉิงตั๋วจึงต้องให้นางพักรักษาตัวบนเตียงของเขา ฉาฉาเองก็ไม่แน่ใจ นางลอบรู้สึกว่าอาการคลั่งไคล้ความสะอาดของเฉิงตั๋วไม่ได้เป็นเพราะกลัวจะสกปรก แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าสิ่งของทุกอย่างที่แตะต้องได้ล้วนแต่ชั่วคราวทั้งสิ้น เสมือนไม่เกี่ยวข้องกับเขา แม้แต่ฝุ่นผงในอากาศยังไม่เกี่ยวอันใดกับเขา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องล้างออกไป อาการเช่นนี้ก้าวหน้าไปถึงขั้นที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว
คนผู้หนึ่งหากเหินห่างกับโลกที่อาศัยอยู่มากถึงเพียงนี้ ในส่วนลึกของหัวใจจะโดดเดี่ยวเพียงใดกัน ด้วยเหตุนี้ฉาฉาจึงรู้สึกว่าคนอย่างเฉิงตั๋วคาดเดาได้ยากอย่างน่ากลัว หากไม่จำต้องรับมือกับเขา นางก็จะไม่รับมือ หากไม่จำต้องหาเรื่องเขา นางก็จะไม่หาเรื่อง เฉิงตั๋วจะวางนางไว้บนเตียงให้เป็นผ้าห่มหรือว่าเป็นหมอน ก็แล้วแต่ที่เขาชอบเถิด
นอกจากนี้ การได้นอนบนเตียงเฉิงตั๋วก็ช่างเป็นสิทธิพิเศษอย่างหนึ่งจริงๆ สบายและอบอุ่นยิ่งกว่าเบาะรองกับพรมมากนัก เวลาที่ซุกหน้าลงไปยังได้กลิ่นผ้าฝ้ายที่ผ่านการซักสะอาด ฉาฉาห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม พลิกตัวซุกหน้าเข้าไปในผ้าห่มเสียเลย ยามนั้นพลันได้ยินเสียงม่านกระโจมถูกเปิดออก มีคนเดินเข้ามา ต่อมาก็มีเสียงของบางอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ ขณะฉาฉาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย ผ้าห่มก็ถูกเฉิงตั๋วดึงออก
“ลุกขึ้น” เขาสั่งเสียงเด็ดขาด จากนั้นก็นั่งลงที่ขอบเตียง ยื่นมือออกไปหยิบยาถ้วยหนึ่ง ฉาฉาได้แต่ลุกขึ้นนั่ง เอนพิงอยู่บนหมอน รับยาถ้วยนั้นมา นางพยายามกลืนน้ำยาสีดำลงไปให้ไวที่สุด
รอจนนางดื่มเสร็จและกำลังขมวดคิ้วแน่น เฉิงตั๋วก็ยัดสิ่งหนึ่งเข้าปากนางโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
กลิ่นนมเข้มข้นเข้ามาแทนที่ความขมฝาดของยาทันที รสหวานอ่อนๆ แฝงรสเปรี้ยวแผ่กระจายออกมาช้าๆ สิ่งนี้คือเนยแข็งของแดนหู เป็นอาหารที่มีอยู่ประจำในครอบครัวคนเลี้ยงสัตว์ทางตอนเหนือ ฉาฉาดื่มด่ำรสชาติของเนยแข็งก้อนนี้อย่างตะกละตะกลาม รู้สึกเหมือนไม่เคยได้กินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน
เฉิงตั๋วถามเสียงเรียบ “ไม่ขมแล้วสินะ”