เฉิงซั่วพระราชทานอนุญาตอย่างพอพระทัย รับสั่งให้นางกำนัลนำกระดาษและพู่กันมาให้ ชั่วขณะหนึ่งไม่มีผู้ใดส่งเสียง ล้วนรอชมเฉิงจิ่นแต่งโคลงกลอน เฉิงซั่วทรงให้ใช้งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นหัวข้อ เฉิงจิ่นไม่แม้แต่จะคิด หยิบพู่กันขึ้นมาจรดลงไปบนกระดาษลายเมฆห้าสี เขียนกลอนออกมาบทหนึ่งทันที “เมืองหลวงเลี้ยงสังสรรค์รำร่าย รับข่าวชัยเร็วรี่จากด่านเขา มิใช่บัณฑิตยากไร้ปั้นแต่งเอา หากเป็นสามทัพมีแม่ทัพเก่งกล้าแท้จริง”
เฉิงซั่วสั่งให้ขันทีอ่าน เมื่อทรงสดับก็แย้มสรวล “น้องสิบสามมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับน้องห้าเสียจริง”
เฉิงจิ่นเอ่ยขอบพระทัย เหล่าบรรดานางสนมก็พากันร้องยกย่องว่าดีอย่างนอบน้อม
ตงฟางยิ้มออกมา นางเอ่ยชื่นชมพี่ห้าของนางในที่แจ้ง ลับหลังกลับด่าว่าเขาเป็นบัณฑิตยากไร้
เฉิงซั่วทรงนึกสนุกขึ้นมา จึงไม่ได้สั่งให้เฉิงจิ่นวางพู่กัน หากสั่งให้ใช้ฤดูกาลเป็นหัวข้อ แต่งโคลงกลอนออกมาอีกบทหนึ่ง
เฉิงจิ่นจรดพู่กันส่งๆ ก็เขียนกลอนออกมาอีกบทอย่างรวดเร็ว “ลมอุ่นมีใจเร่งกิ่งเขียวขจี ท้องทุ่งไร้ไมตรีย้อมแก้มแดงระเรื่อ มิปล่อยลมบูรพาอ้อยอิ่งยืดเยื้อ ให้หอบพัดปุยนุ่นปลิวปรายไปได้หรือ”
เมื่อเฉิงซั่วพยักพระพักตร์ บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นก็ต้องกล่าวชื่นชมขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตงฟางได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม เมื่อครู่นี้ตนเขียนกลอนไปว่าต้นหลิวเขียวขจี นางจึงจงใจแก้ตัว ในใจเขาลอบชื่นชมว่านางมีไหวพริบปฏิภาณ
ฮองเฮาตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “กลอนบทนี้ของน้องสาวค่อนข้างทระนงองอาจนัก” จากนั้นก็ส่งแจกันที่มีกิ่งดอกท้อปักอยู่ไปให้เฉิงจิ่น “ดอกท้อนี้เป็นของเก่า น้องสิบสามจะสามารถรังสรรค์สิ่งใหม่ออกมาได้หรือไม่”
เฉิงจิ่นมองดอกท้อดอกนั้น ความคิดผุดขึ้นในหัว จรดพู่กันลงเขียนช้าๆ “อุทยานช่อท้อใหม่บังหลิวเก่า ตำหนักหน้างานเลี้ยงเหล้าร่ายกวี ใต้เท้าท่านมิรู้ใจกิ่งบุปผา โปรดจงอย่าส่งมอบสู่มือผู้ใด”
หนนี้ตงฟางกลับไม่ยิ้มเสียแล้ว
แม้โคลงกลอนสองบทแรกจะมีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้าใจความนัย แต่โคลงกลอนบทที่สามนี้เฉิงตั๋วกลับฟังออกแล้วเช่นกัน เฉิงจิ่นเปรียบดอกไม้ในแจกันนี้เป็นตัวเอง ในพระราชวังโอ่อ่างดงามแห่งนี้ นางก็เป็นแค่ของประดับตกแต่งในงานเลี้ยง สักวันหนึ่งต้องแต่งกับขุนนาง หรือแต่งออกไปเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี นางล้วนไม่อาจเลือกเอง จะนำมาเทียบกับเกสรที่โบยบินอย่างอิสรเสรีก็ยังเทียบไม่ได้เลย
กลอนบทนี้ยังคงได้รับคำชื่นชมจากผู้คนรอบด้าน เฉิงจิ่นตอบรับเรียบๆ ในใจตระหนักดีว่ากลอนบทนี้ก็เพียงเท่านั้นเอง ไม่มีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์และก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจ นางพลันรู้สึกหมดสนุก ดื่มสุราลงไปอีกสองจอกแล้วจึงอาศัยข้ออ้างว่ายามดึกน้ำค้างแรง ขอตัวออกมา
เฉิงตั๋วรู้ดีว่าที่ผ่านมานางจิตใจหยิ่งทระนง แต่วันนี้จู่ๆ กลับเปิดเผยความน่าสงสารออกมาต่อหน้าทุกคน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง หลังนั่งต่อได้ไม่นานจึงลุกออกจากงานเลี้ยงไปเยี่ยมเฉิงจิ่นที่ตำหนักของนาง