บทที่ 2
พั่วเยวี่ยยืนอยู่นอกห้องมองดูเมฆขาวลอยล่องปกคลุมเบาบาง แนวเทือกเขากระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ทะเลเมฆแทรกแซมด้วยขุนเขาเขียวขจีธารน้ำใสกระจ่าง เมื่อเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นล้วนเป็นทิวทัศน์ ทำให้กลิ่นอายดุร้ายที่แผ่ซ่านจากร่างนางถูกดินแดนอันเงียบสงบชำระล้างไปโดยไม่รู้ตัว
ถิ่นที่พำนักของเซียนก็งดงามเช่นนี้เอง ไม่มีมืดครึ้มหม่นมัวเหมือนแดนมาร ในข้อนี้แดนเซียนเหนือกว่าแดนมารหลายเท่านัก แม้ภายนอกนางจะไม่ยอมรับ ทว่าในใจกลับเห็นพ้องกับความจริงตรงหน้า
นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าแดนมารแออัดและเอะอะเกินไป พวกชอบดื่มสุราหรือทะเลาะวิวาทมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เนื่องจากคนเผ่ามารล้วนทุ่มเทให้กับการเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้และคาถาอาคม
การลอบจู่โจม การหลอกลวง การทำร้ายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในแดนมาร ผู้อ่อนแอจะถูกผู้แข็งแกร่งกดขี่ข่มเหงหรือบังคับใช้แรงงานทาส ถ้าหากไม่อยากถูกใครรังแกก็ต้องแข็งแกร่งมากกว่าเดิมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองกลิ่นอายดุร้ายในแดนมารถึงเข้มข้นเหลือเกิน
แดนเซียนกลับเป็นสถานที่รวมพลังวิญญาณของฟ้าดิน แตกต่างไปจากแดนมารโดยสิ้นเชิง ดินแดนแห่งนี้มีอากาศสดชื่นเย็นสบาย ท้องฟ้าสว่างสดใส เสียงหมู่นกขับขานไพเราะดั่งเสียงสวรรค์ ทางทิศตะวันออกปลอดโปร่งไร้เมฆ ทางทิศตะวันตกสายฝนโปรยปราย แสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ลอดผ่านก้อนเมฆ นกโบยบินผ่านสายรุ้ง
บรรยากาศเงียบสงบ อ่อนโยน และสดชื่น พอนางหลับตาลงก็สัมผัสได้ถึงสายลมโชยพัดผ่านแผ่วเบา สามารถพานพบความสงบในเวลานี้ได้ช่างดีเหลือเกิน เพียงแต่ว่า…
พั่วเยวี่ยหันหน้ากลับไปอย่างเฉยชา เหล่ตามองฝูงแมลงที่เดินตามก้นต้อยๆ อยู่ข้างหลังไม่ห่าง สัตว์เซียนเหล่านี้เอาแต่มองนางด้วยหน้าตาใสซื่อไร้พิษภัย ดวงตากลมโตเบิกกว้างไม่ยอมกะพริบเลยทีเดียว
เมื่อได้มาอยู่ในแดนเซียนนางเพียงแค่อยากดื่มด่ำอยู่กับความเงียบสงบ แต่ไม่ว่านางจะเดินไปทางไหน ฝูงสัตว์โง่เขลาก็ตามไปทางนั้นด้วย
“พวกเจ้าจะตามข้าไปไย” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อยากตาม”
“มองเซียนหญิง”
“เมื่อก่อนไม่มีเซียนหญิง”
“ตอนนี้มีเซียนหญิงแล้ว”
“ชอบมองเซียนหญิง”
พวกมันกล่าวประโยคแล้วประโยคเล่าต่อกัน ตอบคำถามแบบกำปั้นทุบดิน ไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นชาในน้ำเสียงของนางเลยแม้แต่น้อย
หางตาพั่วเยวี่ยกระตุกยิกๆ รู้แต่แรกแล้วว่าสัตว์โง่เขลาเหล่านี้ฟังภาษามนุษย์ไม่เข้าใจ ตอบมาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถือว่านางถามให้มากความโดยแท้
นางเดินต่อไปอีกระยะหนึ่ง เหลียวมองถ้วนทั่วทุกที่ ทว่าเดินเตร็ดเตร่อยู่ครึ่งค่อนวัน นอกจากตัวนางแล้วกลับไม่เห็นใครคนอื่นในแดนเซียนอีกเลย ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจนัก
“เหตุใดถึงไม่เห็นคนอื่นเลยเล่า พวกเขาไปไหนกันหมด” นางอดถามขึ้นไม่ได้
“คนอยู่ที่นี่” เสียงขานรับดังมาจากข้างหลัง
นางหันหน้ากลับไปอย่างตกตะลึง สะดุ้งเฮือกโดยไม่รู้ตัว
ข้างหลังนางมีคนกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ มีทั้งบุรุษและสตรีปะปนกัน พวกเขามาถึงอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงทำให้นางจิตใจตึงเครียดขึ้นมา ไม่คิดว่าพลังยุทธ์ของนางจะอ่อนด้อยลงถึงขั้นคนกลุ่มนี้เข้าประชิดตัวตอนไหนก็ไม่รู้สึกเลยสักนิด
“พวกเจ้าเป็นใคร” พอเห็นพวกเขาแต่ละคนจ้องนางเขม็ง ไม่รู้เพราะเหตุใดแววตาเหล่านั้นกลับสะดุดใจนาง เหมือนเคยรู้จักมาก่อนอย่างไร้เหตุผล
“พวกเราเป็นคน”
“เป็นเซียน”
“ใช่ เป็นเซียน”
“เป็นเซียน เป็นเซียน”
พั่วเยวี่ยพลันตะลึงงัน บริเวณขมับกระตุกตุบๆ ต่อ วาจาโง่เขลาและแววตาที่ดูเหมือนเคยรู้จักที่ไหนมาก่อน ในที่สุดนางก็เข้าใจกระจ่างว่าเพราะเหตุใดพวกเขาถึงทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยมากขนาดนี้
นางหลับตาลงพลางยกมือนวดคลึงตรงหว่างคิ้ว “พวกเจ้าเป็นสัตว์เซียน?”
“เซียนหญิงร้ายกาจมาก พริบตาเดียวก็มองออกเลย”
“สมกับเป็นสตรีที่ท่านเซียนกระบี่พากลับมา”
“สตรีของท่านเซียนกระบี่ สตรีของท่านเซียนกระบี่”
สัตว์เดรัจฉานกลายร่างเป็นมนุษย์ การพูดจายังมีความเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่มาก นางเป็นลูกศิษย์ของเซียนกระบี่ ไม่ใช่สตรีของเขา ทว่านางก็เกียจคร้านจนไม่คิดแก้ไขคำพูดของพวกมันแล้ว
พอเกิดเรื่องราวเช่นนี้นางพบว่าตัวเองหิวขึ้นมาแล้วจริงๆ หลังจากสับเปลี่ยนร่างกายใหม่นางสูญเสียพลังมาร จำเป็นต้องเติมท้องให้อิ่มอย่างมนุษย์ปุถุชน
พั่วเยวี่ยลูบท้องที่กำลังร้องโครกคราก เหล่ตามองไปทางสัตว์เดรัจฉานฝูงนั้นพร้อมเอ่ยว่า “ข้าหิวแล้ว”