ไม่คาดคิดว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวของนางจะทำให้เหล่าสัตว์เซียนเคลื่อนไหวโดยพลัน ไม่นานพวกมันก็กุลีกุจอยกอาหารเลิศรสและสุราชั้นเยี่ยมมาให้นาง จัดหาทุกอย่างเพื่อนางจนพร้อมสรรพ
เมื่อเห็นอาหารมากมายเรียงรายเต็มโต๊ะนางก็หันมองสบสายตายินดีปรีดาแต่ละคู่อีกครั้ง…เอาเถอะ นางยอมรับว่าแม้สัตว์เซียนเหล่านี้จะโง่เขลาไปหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีเลย
ในแดนมารทุกคนกินเนื้อดิบ ดื่มเลือดสด ทว่าในแดนเซียนมีเพียงอาหารเจและผลไม้ ตอนแรกนางนึกว่าตัวเองจะกินไม่ลง กลับต้องประหลาดใจที่พบว่ารสชาติอาหารอร่อยยิ่ง นางคิดว่าบางทีอาจเกี่ยวข้องกับการสับเปลี่ยนร่างกายกระมัง พอรากวิญญาณไม่เหมือนเดิม รสชาติอาหารที่ถูกปากก็เปลี่ยนไปด้วย
พั่วเยวี่ยนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ ทางหนึ่งชาส่งมายื่นมือรับ ข้าวส่งมาอ้าปากงับ ทางหนึ่งสอบถามข่าวคราวจากสัตว์เซียน ต่อให้พวกมันจะตอบไม่เคยตรงคำถาม ยี่สิบประโยคเป็นคำพูดไร้สาระไปแล้วสิบหกประโยค แต่อย่างน้อยก็มีสี่ประโยคนำมาขบคิดได้
“ท่านเซียนกระบี่บอกว่ามีพวกเราก็เอะอะหนวกหูพอแล้ว ก็เลยไม่เคยพาใครมา”
“เซียนหญิงเป็นหญิงคนแรกที่ท่านเซียนกระบี่พากลับมา”
“ท่านเซียนกระบี่ชอบเซียนหญิงก็เลยพาเซียนหญิงกลับมา”
“เซียนกระบี่รักเซียนหญิง เซียนกระบี่รักเซียนหญิง”
พั่วเยวี่ยเด็ดหัวตัดหาง* คำพูดของเหล่าสัตว์เซียน เหลือเอาไว้เฉพาะส่วนที่มีประโยชน์ พอรวมกับการคาดคะเนของตัวเองก็ได้ข้อสรุปดังต่อไปนี้ว่า
เยวี่ยเป่าเป็นเด็กสาวอายุสิบหกปี เดิมเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน เมื่อครั้งเกิดสงครามระหว่างเซียนและมารเยวี่ยเป่าพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วยเพราะถูกคนของเผ่ามารทำร้าย ภายหลังเซียนกระบี่ช่วยชีวิตเอาไว้ เนื่องจากมีรากวิญญาณสมบูรณ์พร้อม เขาก็เลยรับเยวี่ยเป่าเป็นลูกศิษย์และจัดให้อยู่ในถ้ำหินแห่งนั้น นอนบนเตียงน้ำแข็งรักษาอาการบาดเจ็บ ในช่วงเวลานี้เองนางก็ฟื้นคืนสติพบว่าตัวเองเข้าครอบครองร่างกายของเยวี่ยเป่า เซียนกระบี่เห็นนางตื่นแล้วจึงพากลับมายังยอดเขาวั่งเยวี่ย จากนั้นนางก็หลับใหลไปอีกสามวัน จนกระทั่งวันนี้ตื่นขึ้นมา
หรือหมายความว่าสัตว์เซียนเหล่านี้เพิ่งพบหน้านางเป็นครั้งแรก แล้วนางยังเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเขา ฉะนั้นยอดเขาแห่งนี้นอกจากนางแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางเดินเตร่มาครึ่งค่อนวันกลับไม่เห็นหน้าใครเลยสักคน
ตอนแรกนางรู้สึกประหลาดใจนัก ต้วนมู่ไป๋ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรับลูกศิษย์ จู่ๆ มีลูกศิษย์โผล่มาคนหนึ่งได้อย่างไร ที่แท้เพิ่งจะรับมาไม่นานนี่เองถึงได้ไม่มีใครรู้เรื่อง เช่นนั้นก็ไม่น่าประหลาดใจแล้ว
พั่วเยวี่ยแสยะยิ้มชั่วร้ายอยู่ในใจ ในเมื่อเซียนกระบี่มีลูกศิษย์อย่างนางแค่คนเดียว อีกทั้งเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งรับมา จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเผยพิรุธออกไป ส่วนสัตว์เซียนโง่เขลาเหล่านี้ยิ่งไม่ต้องเสียเวลารับมือ
เนื่องจากนางอารมณ์ดีขึ้นมาก เวลามองแมลงตามก้นฝูงหนึ่งจึงไม่รู้สึกขัดตาอีก
หลังจากกินจนอิ่มหนำดื่มจนสาแก่ใจนางก็เดินเล่นไปเรื่อยจนถึงหน้าประตูเรือนของเซียนกระบี่ บนแผ่นป้ายประตูแกะสลักอักษร ‘ลั่วสยา’* เอาไว้ เพียงเพราะเรือนแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก เป็นสถานที่ชมภาพดวงอาทิตย์ตกดินที่งดงามที่สุด
จากคำบอกเล่าของสัตว์เซียนพั่วเยวี่ยถึงได้รู้ว่าที่นี่คือเรือนลั่วสยา ต้วนมู่ไป๋ออกไปเก็บสมุนไพรตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ดวงตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์วูบหนึ่ง มุมปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วหันหน้ากลับไปบอกเหล่าสัตว์เซียนว่า “พวกเจ้าอยากเล่นอะไรสนุกๆ หรือไม่”
พอได้ยินคำว่าเล่นสนุกในหมู่สัตว์เซียนก็เกิดความเคลื่อนไหวยุกยิกราวกับเด็กน้อยทันที
“พวกเรามาเล่นซ่อนหากัน ข้าจะนับถึงสิบ พวกเจ้าต้องไปซ่อนตัวไว้ ถ้าหากข้าจับได้พวกเจ้าจะถูกลงโทษด้วยล่ะ! ข้าเริ่มนับแล้วนะ หนึ่ง…”
ทันทีที่คำว่าหนึ่งหลุดออกจากปากเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ไม่เหลือใครเลยสักคน พวกมันไปซ่อนตัวกันหมดแล้ว
พั่วเยวี่ยหัวเราะเย้ยหยัน ไม่นึกว่าจะผลักไสไปได้ง่ายดายปานนี้ นางแสร้งเอ่ยปากจะเริ่มจับคนที่ซ่อนตัวแล้วแต่กลับย่างเท้าตรงเข้าไปในเรือนลั่วสยา
ตอนแรกนางระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ กลัวพลาดพลั้งไปแตะต้องอาคมควบคุมอะไรจนขัดขวางไม่ให้นางเข้าไปข้างในได้ ทว่าสุดท้ายนางก็คิดมากเกินไปเอง เพราะสามารถเดินเข้ามาอย่างสบายๆ ตลอดทาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็จะเดินสำรวจให้ทั่วโดยไม่เกรงใจแล้ว
เดิมทีพั่วเยวี่ยอยากค้นหาคัมภีร์ลับวิชาเซียนหรือสมบัติอาวุธวิเศษ แต่รื้อค้นไปรื้อค้นมาในห้องนี้ไม่มีของดีอะไรเลยสักชิ้น อาวุธวิเศษหน้าตาพอเข้าท่าเข้าทางก็ไม่มี มิน่าเล่าแม้ว่าเขาจะไม่อยู่ก็ไม่ต้องกางอาคมเขตหวงห้าม เนื่องจากไม่มีของสำคัญอะไรน่าถูกลักขโมยหายไปได้เลย
พั่วเยวี่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ถือโอกาสหยิบกาน้ำใกล้มือรินให้ตัวเองดื่มถ้วยหนึ่ง ทว่าจู่ๆ ก็ประสานเข้ากับสายตาคู่หนึ่งบนโต๊ะซึ่งกำลังจ้องมองมาตาไม่กะพริบทำให้นางสะดุ้งตกใจมือสั่นเทาจนสาดน้ำจากพวยกาใส่ดวงตาคู่นั้น