ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังลั่นแสบแก้วหู นางหลบหลีกไม่ทันจึงถูกรากต้นไม้ที่โผล่พรวดออกมารอบกายมัดแน่นจนขยับไม่ได้แล้วยกร่างของนางสูงขึ้นไปในอากาศ
ใบหน้าของนางขาวซีดไร้สีเลือด ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คือสัตว์ประหลาดชนิดใด รากต้นไม้ที่พันร่างบีบรัดจนอึดอัดหายใจแทบไม่ออก ลมพายุพัดตลบทั่วทิศกรีดเนื้อหนังจนเจ็บแสบไปหมด ประเดี๋ยวเดียวลมยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรงราวกับเป็นใบมีดพร้อมเฉือนนางออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น
ชั่วขณะที่พั่วเยวี่ยนึกว่าชีวิตคงจบสิ้นเท่านี้รากต้นไม้ที่รัดแน่นกลับถูกฟันขาดกระเด็นโดยพลัน ร่างกายนางลอยละลิ่วเนื่องจากมีพลังไร้รูปสายหนึ่งดึงออกจากใจกลางลมพายุก่อนร่วงลงในอ้อมกอดอันอบอุ่น
เหนือศีรษะนางมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นแผ่วเบา “อาจารย์ผละจากไปแค่ครู่เดียวเจ้าก็เล่นซุกซนจนเป็นเช่นนี้เลยหรือ”
พั่วเยวี่ยมองต้วนมู่ไป๋อย่างตกตะลึง เขากำลังหลุบสายตาลงมองนาง ลมพายุพัดตลบทั่วทิศสงบลงแล้ว ซากกำแพงเศษกระเบื้อง ไม้หักพังหินแหลกเป็นชิ้นกระจายทั่วบริเวณ สภาพรอบข้างเละเทะดูไม่ได้
ทว่าคนที่ตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วนที่สุดก็คือนาง เพราะว่าเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างถูกลมพายุเมื่อครู่นี้กรีดขาดกระจุยไม่เหลือผ้าปกปิดร่างกายเลยสักชิ้น
บุรุษผู้นี้กอดเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางแล้วใบหน้าไม่แดงก่ำ ลมหายใจไม่หอบกระชั้น สมกับเป็นบุรุษเย็นชาอันดับหนึ่งแห่งแดนเซียน เขาสุขุมเยือกเย็นขนาดนี้ได้นางก็ไม่มีอะไรต้องเหนียมอายแล้ว
อย่างไรเสียครั้งก่อนตอนร่วงลงสระน้ำก็ถูกเขาเห็นไปทั้งตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง จะเห็นเป็นครั้งที่สองก็ไม่แย่กว่ากันสักเท่าใด
“อาจารย์…” นางกอดเขาไว้แน่น ซุกใบหน้าลงกับซอกคอของเขา เบียดทรวงอกแนบชิดแผงอกแกร่ง ร่ำไห้ร้องขอความเป็นธรรม “ข้าถูกรังแกเจ้าค่ะ ฮือๆๆๆ…”
คนเลวชิงร้องเรียนก่อน นางเป็นคนเลวจึงต้องชิงร้องเรียนตัดหน้าก่อนใคร
ต้วนมู่ไป๋คว้าเสื้อคลุมตัวหนึ่งจากอากาศธาตุอีกครั้ง ห่อเรือนร่างของนางอย่างมิดชิดแล้วตบหลังเบาๆ ปลอบขวัญนางอย่างอ่อนโยนเหมือนเช่นที่เคยทำมา
“อามู่ไม่ได้เจตนาหรอก เจ้าอย่าไปตำหนิเขาเลย”
นางเงยหน้ามองทั้งน้ำตาไหลพราก “อามู่?”
“อามู่นิสัยเหมือนท่อนไม้ แม้ว่าจะเถรตรงไปสักหน่อยแต่ว่าซื่อสัตย์จงรักภักดี เจ้าจะต้องชอบแน่”
ชิ! ชอบสิแปลก เมื่อครู่เจ้านั่นเกือบจะฆ่าข้าอยู่แล้ว!
“อามู่ เข้ามาขอโทษเยวี่ยเป่าเสีย”
พั่วเยวี่ยมองหาตามสายตาของเขาไป แปลกใจว่าอามู่ที่เขาเอ่ยถึงนั้นเป็นปีศาจจากไหนกัน ลองดูซิว่านางจะหาโอกาสฆ่ามันได้หรือไม่!
เดิมทีนางนึกว่าอามู่คงเป็นสัตว์เซียนอะไรสักอย่าง ทว่าชั่วขณะที่มองเห็นเจ้าตัวนั้นวิ่งตึงตังเข้ามา ใบหน้าของนางกลับบิดเบี้ยวเหยเก
อามู่…เป็นไม้สมดังชื่อ เพราะว่ามันคือตอไม้ตอหนึ่ง
หรือจะกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนก็คืออามู่เป็นตอไม้ที่ถูกตัดจนเหลือลำต้นเพียงข้อเดียว ส่วนเปลือกไม้กับรากยังคงอยู่ บนผิวหน้าของตอไม้แบนราบมีเส้นวงปีหลายวงซ้อนกัน บริเวณลำต้นฝังประดับดวงตาสองข้าง โดยไม่มีอวัยวะอย่างมือ เท้า และปาก
พั่วเยวี่ยเบิกตาโพลงมองดูตอไม้ที่ทั้งผิวหยาบและแบนราบตรงหน้า อีกฝ่ายก็จ้องนางตอบด้วยดวงตาสีเขียวกลอกหลุกหลิกคู่หนึ่ง
“ปีศาจโต๊ะ?” พอสามพยางค์นี้หลุดพ้นริมฝีปากนางออกมาก็ทำให้อีกฝ่ายโมโหเดือดดาลสุดขีด
“ข้าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์! ข้าเป็นถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บนเขาฉางไป๋! นางหนูหน้าเหม็นหูตาคับแคบเสียจริง!” อามู่กวัดแกว่งกิ่งก้านอย่างโมโห ใบไม้ทุกใบบนลำต้นชี้ชันด้วยแรงโทสะ ตะโกนประท้วงกับเซียนกระบี่เสียงดังลั่น “นางเป็นฝ่ายผิดต่างหาก นั่งทับข้าด้วยก้นเหม็นๆ สาดน้ำใส่ตาข้า เช่นนี้ข้าถึงได้ลงมือ!”
พั่วเยวี่ยหน้าตาบึ้งตึง “เจ้าตอไม้สมควรตาย เจ้าไม่อยากให้ใครมานั่งทับก็อย่ากลายร่างเป็นเก้าอี้สิ!” กล้ามาด่าว่านางก้นเหม็น ถ้าหากไม่มีเซียนกระบี่อยู่ตรงนี้ด้วยนางคงจุดไฟเผามันไปแต่แรกแล้ว
“หึ! ข้ากลายร่างเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ก็เพื่อให้ท่านเซียนกระบี่นั่ง ชาน้ำแร่บนโต๊ะก็เป็นชาที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่านเซียนกระบี่ เรียนท่านเซียนกระบี่ นางแอบเข้ามาในห้องท่าทางลับๆ ล่อๆ เที่ยวรื้อค้นนู่นนี่ไปทั่ว จะต้องมาขโมยของแน่!”
พั่วเยวี่ยบ่นในใจว่าแย่แล้ว นางไล่พวกสัตว์เซียนออกไปแต่ไม่รู้เลยว่าในห้องยังมีภูตจิตวิญญาณที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ด้วย มิน่าเล่าในเรือนพักแห่งนี้ไม่ต้องสร้างอาคมเขตหวงห้าม เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่จำเป็นเลย เจ้าปีศาจต้นไม้สมควรตายนี่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านให้ต้วนมู่ไป๋อยู่แล้ว!
นางรู้สึกได้ว่าสายตาต้วนมู่ไป๋จดจ้องใบหน้าตัวเองอยู่ ไม่ได้การ จะให้เขาสงสัยข้าไม่ได้! ฉะนั้นนางจึงมองตอบสายตาเขาอย่างน้อยอกน้อยใจโดยพลัน
“อาจารย์ ศิษย์ตื่นขึ้นมาก็ออกตามหาท่าน เห็นว่าท่านไม่อยู่ก็เลยอยากหาตำราสักสองสามเล่มมาอ่านฆ่าเวลา แต่ไม่รู้ว่าเรือนพักของท่านไม่อาจเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ไม่รู้ว่าโต๊ะเก้าอี้จะใจแคบถึงเพียงนั้นไม่ให้ใครมานั่ง”
ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดนั่นแหละ เพราะตีให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับ