อามู่ฟังแล้วโมโหจนกระทืบเท้า “ข้าไม่ได้ใจแคบนะ ข้ามีหลักการของตัวเอง เจ้าไม่ยอมทักทายกันสักคำก็มานั่งทับข้าแล้ว ไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย!”
พั่วเยวี่ยสบถด่าอยู่ในใจและแสร้งทำสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาต่อไป
“บ้านใครเวลานั่งเก้าอี้ต้องทักทายเก้าอี้ก่อน บ้านใครเวลาคนนั่งดื่มน้ำชาจะมีโต๊ะลืมตามาจ้องมอง ข้ามาหาตำราอ่านในห้องหนังสือของอาจารย์ แล้วเจ้าล่ะ มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรในเรือนพักของอาจารย์ เรือนหลังนี้มีแต่เจ้าที่เข้ามาได้ ส่วนข้าเข้าไม่ได้รึ เจ้าบอกข้าทำลับๆ ล่อๆ ข้าก็ว่าเจ้าหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกัน เป็นโจรร้องจับโจรชัดๆ เชอะ!”
การซักถามและกล่าวหาชุดใหญ่ทำให้อามู่ร้อนใจจนกระโดดหย็องแหย็ง กิ่งไม้บนร่างยิ่งสั่นกระพืออย่างดุร้ายกว่าเดิม
“เจ้าๆๆ…เจ้าใส่ร้ายข้า!”
“เหตุใดเจ้าไม่กลายร่างเป็นกระบอกใส่พู่กัน ชั้นหนังสือ หรือว่าตู้เสื้อผ้าเล่า กลับกลายร่างเป็นเก้าอี้เพื่อล่อให้ข้าไปนั่ง เจ้าจงใจลวนลามก้นข้าชัดๆ เลย”
“พรืด…”
เสียงหลุดหัวเราะนี้ทำให้ทั้งสองหยุดชะงักหันขวับไปมองต้วนมู่ไป๋อย่างพร้อมเพรียง ท่าทางเขาเหมือนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
ต้วนมู่ไป๋ที่อยู่ตรงหน้าทำให้พั่วเยวี่ยมองอย่างตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าเขาก็หัวเราะแบบนี้ได้ด้วย รอยยิ้มอบอุ่นเมื่อแรกพบทำให้นางประหลาดใจมากพอแล้ว การกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นไปหมดอย่างตอนนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อมากขึ้นไปอีก
ความจริงลึกๆ แล้วเขาไม่ใช่คนเย็นชาเลยสักนิด สีหน้าสะท้อนอารมณ์มีชีวิตชีวาและอ่อนโยนโดยไม่เก็บงำจนนางไม่อาจละสายตาไปที่ใดได้เลย
“อามู่ เยวี่ยเป่ายังไม่ได้ฝึกอาคมเซียน ไม่ทันได้เปิดตาทิพย์ ไม่อาจแยกแยะออกว่าเจ้าเป็นภูตต้นไม้” จากนั้นต้วนมู่ไป๋ก็หันกลับไปอธิบายกับพั่วเยวี่ยอย่างนุ่มนวลว่า “เดิมทีอามู่เป็นภูตต้นไม้พันปี ราษฎรในท้องถิ่นแถบตงเป่ยเคารพบูชาเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไปสะดุดตาโจรจิตใจหยาบช้า ถูกโค่นต้นทิ้งและขโมยไม้ไปขายได้ราคางาม ข้าเห็นว่าพลังบำเพ็ญเพียรกว่าพันปีของเขาได้มาไม่ง่ายเลยจึงใช้อิทธิฤทธิ์เปลี่ยนร่างให้ เมื่อเขาได้รับการช่วยเหลือจากข้าจึงเข้ามาอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้น ปกติคอยเตรียมน้ำยกน้ำชาให้ข้า บางครั้งกลายร่างเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้เฝ้ายามอยู่ในห้องหนังสือ”
“ที่แท้นางหนูคนนี้ยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่ไร้อิทธิฤทธิ์?” อามู่แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา
บริเวณขมับพั่วเยวี่ยกระตุกตุบๆ อีกครั้ง “เจ้าต่างหากเป็นตอไม้โง่เง่าไร้สติปัญญา”
สองฝ่ายต่างจ้องหน้ากันเขม็งโดยไม่กะพริบตา ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ต้วนมู่ไป๋กลับตบแผ่นหลังนางเบาๆ พร้อมหลุดหัวเราะอย่าห้ามไม่อยู่
“เอาล่ะ…เอาล่ะ เป็นคนกันเองทั้งนั้น อามู่ เยวี่ยเป่าเป็นศิษย์รักของข้าเอง เจ้าจะรังแกนางไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธนะ” แม้ต้วนมู่ไป๋จะมีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่ยามพูดจากลับใช้น้ำเสียงแฝงการตักเตือนและความน่าเกรงขามที่ไม่อาจมองข้ามได้
ถึงพั่วเยวี่ยจะรู้ว่าต้วนมู่ไป๋รักใคร่เอ็นดูเยวี่ยเป่าอยู่มาก ทว่าพอได้ยินเขาเอ่ยเรียก ‘ศิษย์รัก’ สองคำนี้ออกจากปาก ในใจกลับมีความอิจฉาผุดขึ้นมาจางๆ
ในแดนมารพั่วเยวี่ยเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่ง เมื่อกล่าวถึงรูปโฉมนางงดงามยิ่งกว่าหลายเท่า เยวี่ยเป่าอย่างมากที่สุดก็เป็นแค่เด็กสาวใบหน้างามพริ้มเพรา แต่กลับได้รับความรักจากเซียนกระบี่ผู้เย็นชา
แน่นอนว่าความอิจฉาของพั่วเยวี่ยเป็นเพียงเพราะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ในทางกลับกันลองคิดดูแล้วเขายิ่งรักใคร่เยวี่ยเป่ามากเท่าใดจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อนางมากขึ้นเท่านั้น นางสามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ฉะนั้นจึงตั้งใจกระชับอ้อมกอดออดอ้อนกว่าเดิม
“อาจารย์ ท่านต้องรีบสอนวิชาเซียนให้เป่าเอ๋อร์เร็วๆ นะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นแม้กระทั่งตอไม้ยังกล้ารังแกข้าเลย”
“ข้าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์!” อามู่เอ่ยประท้วง
“เอาล่ะ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” ต้วนมู่ไป๋กลั้นหัวเราะ สั่งกำชับอามู่ซ่อมแซมห้องหนังสือให้เรียบร้อย ส่วนเขาอุ้มพั่วเยวี่ยเดินกลับไปทางห้องนอน
เอ๋? อุ้มข้ากลับห้องในสภาพนี้เลยหรือ ข้ายังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ เขากลับไม่คิดหลบเลี่ยงสักนิด แต่ว่าลองคิดดูแล้วที่นี่ก็ไม่มีใครอื่น จะทำหลบหน้าหลบตาใครกัน
ต้วนมู่ไป๋อุ้มเด็กสาวเข้ามาในห้อง ตอนแรกคิดจะวางร่างนางลง แต่สัมผัสได้ว่าสองแขนที่คล้องรอบคอรัดแน่นขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะยอมคลายออก พอเขาก้มมองก็เห็นนางแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ออดอ้อนออเซาะเขาอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจและนั่งลงบนตักตัวเอง
“ดูสิ นี่คืออะไร”
เขาใช้แขนข้างหนึ่งโอบกอดนางไว้แล้วยื่นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ออกมา ผลไม้สีแดงแวววาวโปร่งแสงลูกหนึ่งวางอยู่บนฝ่ามือ
พั่วเยวี่ยปรายตามองแวบเดียว ดวงตาคู่งามพลันทอประกายวิบวับ “ผลรวมพลังปราณหรือเจ้าคะ”
“วันนี้ข้าลงเขาไปแต่เช้าตรู่ก็เพื่อไปเก็บผลไม้เซียนชนิดนี้มาฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมให้เจ้า”
พั่วเยวี่ยตกใจระคนยินดี สีหน้าฉายแววตื่นเต้นชัดเจน แต่เนื่องจากเคยมีบทเรียนมาแล้วในครั้งก่อนจึงมีท่าทีระแวดระวังกว่าเดิม