พั่วเยวี่ยรู้สึกได้ว่าไฟโทสะในใจลุกโชน ทว่าก็ไม่อาจระบายออกมาได้อยู่ดี ระหว่างกำลังกลัดกลุ้มเพราะไฟโทสะเต็มท้องไร้ทางระบาย สัมผัสเย็นเฉียบของบางสิ่งพลันวางทาบบนลำคอนาง
นางมีสีหน้างุนงง ก้มศีรษะมองสร้อยคอตรงทรวงอกตัวเองก่อนเงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัย
“นี่คือสร้อยหินผนึกใจ” เขาสวมสร้อยคอให้นางไปพลางอธิบายรายละเอียดไปพลาง “หินวิญญาณก้อนนี้จะพิทักษ์หัวใจเจ้าให้ร้อยพิษไม่กล้ำกราย อีกทั้งภูตผีปีศาจร้ายไม่อาจรังควาน นับเป็นหินที่ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ด้วย”
หินผู้พิทักษ์เปล่งแสงสีเหลืองจางๆ เนื้อใสโปร่งแสงวาววับ งดงามสะดุดตายิ่ง นางอดมองด้วยความหลงใหลไม่ได้ ครั้นยกมือข้างหนึ่งกุมมันไว้ก็พบว่ามีไออุ่นแผ่ออกมาด้วย
ฝ่ามือใหญ่วางทาบบนมือนางแล้วเกาะกุมไว้ นางเงยหน้าขึ้นก็ประสานสายตาเขาพอดี
นางรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“หินผู้พิทักษ์ก้อนนี้ใต้หล้ามีเพียงหนึ่งเดียว สวมใส่ติดตัวไว้ไม่ห่างกาย เข้าใจหรือไม่”
ดวงตานางเป็นประกายวาววับ จู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย หึๆ ก็ไม่เลวนัก รู้จักเอาอกเอาใจกันบ้าง ในที่สุดก็ทำตัวสมกับเป็นอาจารย์
“แต่ว่าหินผู้พิทักษ์ก้อนนี้ต้องยอมรับนายของมันด้วย”
ยอมรับนายของมัน?
ระหว่างที่พั่วเยวี่ยสับสนงุนงงอยู่นั้นก็เห็นเขายกมือนางขึ้น อ้าปากกัดโดยไม่ส่งสัญญาณเตือน
นางเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ รับรู้ถึงความปวดแปลบตรงปลายนิ้วเพราะถูกเขากัดจนเลือดออก เขาหยดเลือดลงไปบนหินวิญญาณก่อนจะเห็นหินก้อนนั้นส่องแสงระยิบระยับราวกับมีชีวิตขึ้นมา สุดท้ายก็ดูดเลือดของนางซึมเข้าไป
เมื่อหินวิญญาณได้เลือดของนางแล้ว ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ว่าหัวใจอบอุ่นสบายไปทั้งดวง คล้ายว่าเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด* มีไอร้อนไหลวนเวียน ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้นางลืมความเจ็บปวดที่เพิ่งถูกกัดนิ้วไปชั่วขณะ
รอให้พั่วเยวี่ยได้สติเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นต้วนมู่ไป๋อมปลายนิ้วนางไว้ ออกแรงดูดเม้มอย่างตั้งใจ
นางสติหลุดลอยไปอีกแล้ว
เขาดูดปลายนิ้วของนางแผ่วเบา ภาพเบื้องหน้าทั้งวาบหวามทั้งน่าหลงใหล ความเร้าใจทำให้คนเห็นเลือดกำเดาเกือบพุ่งพรวดออกจมูก
การกระทำเพียงแค่ดูดปลายนิ้วแท้ๆ กลับชวนให้ความคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกลอย่างห้ามไม่อยู่ นางรู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนผ่าว เผลอมองจนบื้อใบ้พูดอะไรไม่ออก
“เอาล่ะ ไม่เจ็บแล้ว” เขาปลอบโยนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พั่วเยวี่ยได้สติกลับคืนมา มองดูปลายนิ้วตัวเองก็พบว่าตำแหน่งที่ถูกเขาดูดเม้มนั้นรอยบาดแผลหายไปแล้ว
นางยังไม่ทันมีอาการตอบสนองต้วนมู่ไป๋ก็เป็นฝ่ายจูงมือนางเอง พานางเดินก้าวไปข้างหน้าโดยไม่แสดงความกระอักกระอ่วนและไม่มีความคับข้องใจ ดูเหมือนสิ่งที่เขาทำให้นางเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วถึงได้ทำอย่างเป็นธรรมชาติปานนั้น
พั่วเยวี่ยถูกเขาจูงมือเดินไป นางเดินไปพลางคิดไปพลาง ทว่ายิ่งคิดกลับยิ่งแปลกพิลึก
บุรุษผู้นี้คงไม่ใช่ยอดนักหว่านเสน่ห์กระมัง เพราะเหตุใดนางถึงรู้สึกว่าเมื่อครู่ตัวเองถูกเกี้ยวอย่างหนักหน่วงได้เล่า
อินเจ๋อที่ยืนมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ข้างๆ แค่นเสียงเย็นชาว่า “ไร้ยางอาย”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 65)