บทที่ 6
เซียวฉางหนิงหนีกลับถึงในห้องก็รีบปิดประตู หันหลังพิงประตูหายใจหอบไม่หยุด หัวใจเต้นราวรัวกลอง
นางเคยได้ยินมานานว่าสำนักบูรพาทุกต้นเดือนจะนัดประชุมลับ หนึ่งคือเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร สองคือยืนยันเป้าหมายที่จะดำเนินการในเดือนหน้า เพื่อจับตาดูใครบางคน หรือเพื่อลอบสังหารสายสืบ สำนักบูรพาก็เหมือนสัตว์ป่าที่จำศีลอยู่ท่ามกลางความมืดกลุ่มหนึ่ง ไม่แน่ว่าจะกระโจนมากัดหลอดลมของเจ้าจนขาดเมื่อใดก็ได้
เซียวฉางหนิงรู้สึกว่าตนเองระยะนี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ แม้แต่จะจับแมวสักตัวยังไปเจอเข้ากับการวางแผนลับของสำนักบูรพาได้อีก
ซย่าลวี่ยกน้ำชาเย็นหนึ่งกามา แล้วหยิบผ้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เซียวฉางหนิง พูดอย่างเป็นห่วงว่า “องค์หญิงใหญ่เพคะ สีพระพักตร์ของท่านเหตุใดจึงแย่เช่นนี้ คับข้องใจสิ่งใดอยู่หรือเพคะ”
เซียวฉางหนิงหมอบอยู่บนโต๊ะอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นางยกน้ำชาเย็นขึ้นดื่มสองอึก จึงสงบสติลงได้เล็กน้อย “ข้า…ไม่ระวังได้ยินความลับของสำนักบูรพาเข้า อาจจะถูกฆ่าปิดปากก็ได้”
“หา!” ซย่าลวี่ร้องตกใจ ถอยหลังก้าวหนึ่งลงคุกเข่า ร้องไห้พูดว่า “องค์หญิงใหญ่ แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดีเพคะ! หรือว่าพวกเราคิดวิธีหนีออกไปเถอะเพคะ!”
“หนีหรือ ที่นี่มีอันตรายซ่อนอยู่รอบด้าน เจ้าหน้าที่อยู่เต็มไปทั่ว เจ้าข้าไม่มีอาวุธติดมือสักชิ้น จะหนีไปที่ใดได้” เซียวฉางหนิงถอนใจพูดว่า “เจ้าอย่าร้องไห้ ให้ข้าสงบสติสักครู่ ใช้ความคิดสักนิด”
ณ โถงประชุม
“ใต้เท้าผู้บัญชาการ ในเมื่อแผนการถูกองค์หญิงใหญ่ฉางหนิงได้ยินเข้าแล้ว จะปรึกษาการดำเนินการใหม่หรือไม่ขอรับ” ผู้ที่พูดเป็นขันทีวัยกลางคนรูปร่างท้วมคนหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยน ท่าทางมีเมตตาอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ขาวที่ปรุงยาพิษใหม่ที่ไร้สีไร้กลิ่นออกมาผู้นั้น แซ่อู๋ชื่อโหย่วฝู
เสิ่นเสวียนเผยอริมฝีปากบางเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น”
“ท่านเชื่อใจนางเพียงนี้เชียวหรือ” ฟางอู๋จิ้งหมุนมีดเล็กตรงร่องนิ้ว ใช้คมดาบที่แหลมคมเป็นคันฉ่อง ส่องใบหน้าซ้ายขวาดูรอบหนึ่ง แล้วพูดเย้าด้วยรอยยิ้ม “ไทเฮาคงกดดันนาง ให้นางลอบเอาชีวิตของท่านแน่นอน ท่านไม่กลัวนางจะหักหลังท่านหรือ อย่างไรเสียไม่มีองค์หญิงปกติองค์ใดที่ยินดีแต่งกับคนอย่างพวกเราอยู่แล้ว”
“ข้าน้อยเข้าใจความคิดของใต้เท้าผู้บัญชาการแล้ว” อู๋โหย่วฝูจับยาลูกกลอนสีเขียวอ่อนด้วยปลายนิ้ว ยิ้มหยีตาพูดว่า “ถ้าองค์หญิงใหญ่เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ยอมให้คนอื่นชักใย แต่ไม่มีสติปัญญาวางแผนใด คนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่หากองค์หญิงใหญ่เป็นคนฉลาด ย่อมไม่เอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
พูดจบนกกระจอกตัวหนึ่งก็บินโผลงมา ใช้บ่าของอู๋โหย่วฝูเป็นสถานที่พักผ่อน แต่เพียงชั่วครู่เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น นกกระจอกที่ยังกระโดดไปมาบนบ่าของเขาเมื่อครู่อ้าจะงอยปากในทันใด ส่งเสียงร้องแหลมดังเหมือนมีอะไรอุดหลอดลม จากนั้นก็กระพือปีกตกลงพื้น ขนนกแห้งหลายอันลอยขึ้นมา นกน้อยที่ตกลงพื้นกรงเล็บหงิกงอ ดิ้นรนอยู่ชั่วครู่ก็ขาดใจตายโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครมองนกตายตัวนี้เลย ราวกับเห็นวิธีการลงมือร้ายกาจของอู๋โหย่วฝูมาจนชินแล้ว
เสิ่นเสวียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่กดดาบคู่ที่ห้อยอยู่ข้างเอวแล้วพูดว่า “สำนักบูรพาต่อสู้ฆ่าฟันกันทั้งวัน ไม่มีความสนุกมานานแล้ว เลี้ยงนางไว้เล่นสนุกข้างกายก็น่าสนใจดี”
ฟางอู๋จิ้งหัวเราะเสียงดัง “ใต้เท้าผู้บัญชาการนี่ไม่เพียงทำตัวเดียวดายอยากแสวงหาความพ่ายแพ้ ยามนี้ยังแสวงหาไปถึงอ้อมกอดหญิงงามแล้ว!”
เสิ่นเสวียนปรายตามองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
ฟางอู๋จิ้งหุบยิ้มในพริบตา “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยไม่ควรจะหัวเราะเยาะใต้เท้าผู้บัญชาการ!”
แมวกระดองเต่าบนชายคาที่ลงมาไม่ได้ร้อนใจจนข่วนหลังคา ส่งเสียงร้อง “เหมียวๆ” ทำให้สุนัขดำตัวใหญ่ที่เสิ่นเสวียนเลี้ยงไว้ตัวนั้นเห่าไม่หยุด
“แมวของนาง” เสิ่นเสวียนขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้า ส่งแมวคืนไปให้นางที”
“ได้ขอรับ! เรื่องจับตัว สำนักบูรพาของพวกเราถนัดที่สุดแล้ว!” ฟางอู๋จิ้งพูดพลางถลกแขนเสื้อ กระโดดลอยตัวไม่กี่ทีปีนขึ้นบนคานไม้ แล้วพลิกตัวกระโดดขึ้นบนหลังคาไปจับแมวน้อย
เสิ่นเสวียนพูดกับอู๋โหย่วฝูว่า “วันหน้าของมีพิษอย่าทิ้งส่งเดชไปทั่ว ระวังหญิงสาวไม่รู้ความจะเก็บไปแล้วตายโดยเปล่าประโยชน์!”
อู๋โหย่วฝูประกบหมัด หัวเราะเสียงอบอุ่นหนึ่งที “ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ”