เซียวฉางหนิงนอนหลับอย่างสบายใจหนึ่งตื่น จนกระทั่งท้องรู้สึกหิวจึงลุกขึ้นมากินอาหารอย่างเกียจคร้าน
กินอาหารกลางวันในห้องตามลำพังแล้วเซียวฉางหนิงก็รู้สึกเบื่อ จึงลงมือเก็บสินเดิมที่ตนเองนำมาด้วย ของส่วนใหญ่สาวใช้ประจำกายเก็บให้นางเรียบร้อยแล้ว มีเพียงหีบไม้แดงเล็กใบหนึ่งที่ยังปิดผนึกไว้ ในนั้นใส่ของล้ำค่าที่สุดของนางเอาไว้ เหล่าสาวใช้จึงไม่กล้าเคลื่อนย้ายเอง
เซียวฉางหนิงหยิบกุญแจมาไขกลอนแล้วเปิดหีบออก ในนั้นวางของหลายอย่างเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีผีเสื้อหยกและพระราชโองการลายพระหัตถ์ของอดีตฮ่องเต้ที่แต่งตั้งและมอบศักดินาแก่นางที่ดำรงศักดิ์เป็น ‘องค์หญิงฉางหนิง’ ยังมีถุงหอมสีเขียวสนใบเล็กน่ารักหนึ่งใบ เป็นของชิ้นสุดท้ายที่อวี๋กุ้ยเฟยปักด้วยตนเองและทิ้งไว้ให้นาง
เซียวฉางหนิงเอาถุงหอมมาห้อยติดตัว และเมื่อหยิบพระราชโองการขึ้นมาคลี่ออกอ่าน อักษรของบิดาที่คุ้นตาปรากฏแก่สายตา ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหนึบที่ขอบตา
บนนั้นเขียนทีละขีดทีละเส้นอย่างชัดเจนว่าในวันเดือนปีหนึ่งแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงฉางหนิง มีพื้นที่ทำกินในครอบครองสามร้อยครัวเรือน…ภายหลังอวี๋กุ้ยเฟยป่วยตาย อดีตฮ่องเต้ทุกข์ระทม เพิ่มพื้นที่ทำกินในครอบครองให้เซียวฉางหนิงอีกสามร้อยครัวเรือน ถือเป็นศักดินาเทียบเท่าองค์หญิงใหญ่
แต่เวลานี้นางกลายเป็นองค์หญิงใหญ่แล้ว ทั้งยังมีที่ทำกินหกร้อยครัวเรือนตามเดิม แต่ฮ่องเต้ที่สุภาพอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักที่พร้อมจะมอบให้นางผู้นั้นกลับนอนหลับยาวอยู่ใต้ดินตลอดกาลแล้ว
เซียวฉางหนิงดวงตารู้สึกปวดหนึบ นางม้วนเก็บพระราชโองการไว้อย่างดีแล้วปิดหีบลง
ครึ่งวันบ่ายนี้เซียวฉางหนิงรู้สึกสบายเป็นอิสระ และรู้สึกถึงความสงบอย่างบอกไม่ถูก
ความสงบเช่นนี้ดูไม่ปกติอยู่บ้าง…เซียวฉางหนิงมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นมารางๆ และเป็นจริงดังคาด เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เสิ่นเสวียนที่อดกลั้นมาตลอดวันก็ลงมือแล้ว
เพราะเซียวฉางหนิงไม่ยินดีมากินอาหารร่วมกับเขาในโถง เสิ่นเสวียนจึงสั่งคนยกเลิกอาหารของนางไปเสีย ในห้องครัวใหญ่ไม่มีแม้แต่โจ๊กร้อนสักคำเหลือให้นาง
“ใต้เท้าผู้บัญชาการบอกไว้ว่าในเมื่อองค์หญิงใหญ่ยินดีจะอยู่ในห้องของบ่าวรับใช้ ก็ถือว่าไม่เห็นตนเองเป็นนายหญิงของสำนักบูรพา การกินสวมใส่ใช้สอยย่อมต้องเป็นเช่นเดียวกับบ่าวรับใช้ อาหารเย็นนี้ต้องลงมือทำด้วยตนเองจึงจะถูก”
ได้ฟังดังนั้นเซียวฉางหนิงก็โกรธมาก
จะให้นางลงมือทำอาหารเองนั้นเป็นไปไม่ได้
ไม่ต้องพูดถึงเซียวฉางหนิง แม้แต่เหล่านางกำนัลที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังแต่เด็ก เพียงปรนนิบัติเจ้านายสวมใส่ชำระล้างร่างกายเท่านั้น ต่างไม่เคยเข้าครัวทำอาหาร ส่วนอาหารปกติก็ไปเอาที่ปรุงสำเร็จมาจากห้องเครื่อง แล้วเช่นนี้จะทำอาหารเป็นได้อย่างไร
ภายในห้องครัวมีเสียงปึงๆ ปังๆ ควันลอยคลุ้ง มีเสียงกระแอมน่าเวทนาดังออกมาบ่อยครั้ง ส่วนในห้องนอนที่ห่างไปเพียงหนึ่งช่วงเรือน ภายในห้องมีแสงไฟอบอุ่นเงียบสงบ เสิ่นเสวียนสยายผมดำขลับกึ่งหนึ่งสวมเสื้อคลุมนั่งอยู่ข้างโต๊ะ นิ้วที่เรียวยาวคีบหมากดำไว้ตัวหนึ่ง
เขาวางหมากดำตัวหนึ่งลงบนกระดานหมาก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “อย่างมากก็ทนได้ถึงพรุ่งนี้”
อาหารมื้อนี้สุดท้ายนางก็ทำไม่สำเร็จ เซียวฉางหนิงจำต้องนอนหิวอยู่คืนหนึ่ง
เช้าวันต่อมานายบ่าวสี่คนมีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง ส่งสายตามองกันไปมา เซียวฉางหนิงถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง “ช่างเถิด คนฉลาดไม่ยอมเสียเปรียบในสถานการณ์ไม่อำนวย! ในเมื่อข้าทำให้เสิ่นเสวียนขายหน้า ไปยอมรับผิดเสียหน่อยก็ได้…”
ด้วยเหตุนี้เซียวฉางหนิงจึงคิด ‘แผนเมืองร้าง’ อยู่ในใจ เค้นน้ำตาเศร้าใจ ล้างหน้าบ้วนปากอย่างเศร้าสลดแล้วสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างเชื่องช้า สุดท้ายสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนก้าวเดินอย่างเบาเท้าไปยังโถงใหญ่ที่เสิ่นเสวียนกินอาหารอยู่…
ไม่ยอมจำนนให้ผลประโยชน์เพียงน้อยนิดหรือ
นั่นเป็นเรื่องที่ปราชญ์เท่านั้นจะทำ!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ม.ค. 67 เวลา 12.00 น.