ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 1-บทที่ 2
ตอนนั้นทหารกบฏของสกุลสวี่ไล่ตามมาข้างหลังอย่างไม่ลดละ ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย รถม้าที่นางนั่งพลิกตกจากเส้นทางบนภูเขา เนื่องจากอาการบาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่สะดวก กลัวจะทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาในตอนนั้นต้องพลอยเดือดร้อนจึงขอแยกทาง
นางถูกส่งตัวไปที่เมืองเซวียนเฉิงที่อยู่ละแวกใกล้เคียง พักรักษาตัวอยู่ที่นั่นชั่วคราว หลังจากนั้นกองกำลังฝ่ายกบฏก็ไล่ตามมาถึงที่นั่น และทิ้งกองกำลังส่วนหนึ่งให้โจมตีเมืองเซวียนเฉิง ปิดล้อมเมืองเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือน
ในขณะที่ในเมืองเสบียงอาหารเริ่มขาดแคลน ทหารป้องกันเมืองสูญเสียขวัญกำลังใจ เมืองอยู่ในสภาพสุ่มเสี่ยงอันตราย หลี่มู่ก็ประหนึ่งลงมาจากฟากฟ้า นำกองทัพมาด้วยตนเอง ช่วยเมืองจากการปิดล้อมของข้าศึกไว้ได้
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังตามหาเกาลั่วเสินที่ตอนนั้นซ่อนตัวอยู่ในห้องลับด้วยตนเองจนพบ แล้วมอบหมายให้ทหารนายสนิทคุ้มกันนางไปส่งยังที่ปลอดภัย กระทั่งการก่อกบฏยุติลงแล้ว เขาก็ส่งนางกลับเมืองเจี้ยนคัง
‘เมืองเซวียนเฉิงไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหาร ถึงสูญเสียไปชั่วคราวก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรต่อสถานการณ์โดยรวมในการปราบกบฏ ตอนนั้นเขาเพิ่งนำกองทัพจากตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียงกลับลงมาทางใต้ ไม่ไปช่วยเมืองเจี้ยนคังที่สำคัญที่สุด กลับมาช่วยเมืองเซวียนเฉิงก่อน หลังเสร็จเรื่องยังเข้าเมืองไปตามหาเจ้าด้วยตนเอง เขาอายุสามสิบแล้ว ข้ากลับได้ยินว่าเขายังไม่เคยแต่งภรรยา ถ้าจะบอกว่าเขามีใจต่อเจ้า คงไม่เกินไปกระมัง’
คำพูดของเกายงหรงทำให้เกาลั่วเสินรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย นางสั่นศีรษะ
‘อาเจี่ย ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับต้าซือหม่าไม่เคยรู้จักกัน ก่อนเจอกันที่เมืองเซวียนเฉิง แม้แต่หน้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากกลับมาเมืองเจี้ยนคังก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก เขาจะมีใจให้ข้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นข้าจำได้อย่างชัดเจน วันนั้นหลังจากช่วยเมืองเซวียนเฉิงจากการปิดล้อมของข้าศึกไว้ได้แล้ว ตอนเขาหาตัวข้าพบ ก็เพียงสั่งกำชับไม่กี่คำ ไม่มีอะไรเกินเลยมารยาทอันควรแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่มีคำพูดที่เกินจำเป็น กระทั่งจะมองข้ามากหน่อยก็ไม่มี แล้วจะเอาคำว่า ‘มีใจ’ มาจากที่ใด’
เกายงหรงยิ้มบาง
‘อาหมี ด้วยสติปัญญาและรูปโฉมของเจ้า รวมกับชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสกุลเกาเรา บุรุษจะแอบชื่นชอบเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขายังไม่ได้แต่งภรรยา ทั้งไม่เจ้าชู้ เมื่อก่อนมีคนมอบหญิงงามเด็กหนุ่มรูปงามให้เขา เขาล้วนปฏิเสธไม่รับ เรื่องนี้ก็ช่างเถิด ช่วงหลายปีนี้เขาเปี่ยมอำนาจและอิทธิพล มีตระกูลขุนนางไม่น้อยยินดีจะละทิ้งฐานะวงศ์ตระกูล เป็นฝ่ายเสนอที่จะเกี่ยวดองกับเขาด้วยการสมรส เขากลับอ้างเหตุผลยังปราบปรามทางเหนือไม่ลุล่วง ยังไม่ปรารถนาจะมีเหย้ามีเรือนปฏิเสธไปทั้งหมด แต่เมื่อสองวันก่อนข้าส่งคนไปพบเขา บอกข่าวเรื่องต้องการให้เจ้าแต่งกับเขา เพื่อจะลองหยั่งเสียงเขาดู เขากลับรับปากแล้ว’
‘อะไรนะ! อาเจี่ย ท่านพูดกับเขาแล้วหรือ เหตุใดท่านไม่บอกข้าให้รู้ก่อนเล่า’
เกาลั่วเสินตื่นตะลึงอีกครั้ง
เปรียบกับเกาลั่วเสินที่ยั้งสติไม่อยู่ สีหน้าเกายงหรงกลับไร้คลื่นลมใดๆ
บางทีอาการตอบสนองของญาติผู้น้องอาจจะอยู่ในความคาดการณ์ของนางอยู่แล้ว
ในตำหนักมีเพียงพวกนางสองพี่น้อง
เกายงหรงเดินมาถึงข้างกายญาติผู้น้อง จับจูงมือนางพาเดินไปนั่งที่ตั่งเตี้ย ตนเองก็นั่งลงที่ด้านข้าง
‘อาหมี ก่อนหน้านี้อาเจี่ยเพียงหยั่งเสียงต้าซือหม่าดู จึงไม่ได้บอกให้เจ้ารู้ ตอนนี้เรียกเจ้าเข้าวังมาก็ไม่ใช่เพื่อจะปรึกษาหารือกับเจ้าหรือ อี้อันกับเจ้าเดิมเป็นคู่ที่ทุกคนต่างอิจฉา แต่จะทำอย่างไรได้เล่า เขาจากไปเร็ว จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปกว่าเจ็ดปีแล้ว เจ้าเองก็เพิ่งอายุยี่สิบห้า เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของสตรี หรือว่าจะยอมเหี่ยวเฉาโรยราอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิตเช่นนี้ ถ้าดวงวิญญาณของอี้อันรับรู้ได้ จะต้องไม่ยินดีเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้แน่ หลี่มู่แม้จะมีชาติกำเนิดในตระกูลสามัญชน แต่มาถึงวันนี้ไม่พูดถึงสกุลเกาของเรากับสกุลเซียวที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ทอดสายตามองไปทั่วแผ่นดินต้าอวี๋ มีวงศ์สกุลใดบ้างที่สามารถสั่นคลอนฐานะของเขาได้แม้ครึ่งส่วน ให้เจ้าแต่งกับเขา แม้ไม่เป็นธรรมต่อเจ้าก็จริง! แต่เจ้าก็เคยเห็นมาด้วยตาของตนเองแล้ว รูปร่างหน้าตา หรือความรู้ความสามารถของเขาก็หาได้ด้อย กับเจ้าก็นับว่าเหมาะสมคู่ควร…’
‘อาเจี่ย ท่านไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ไม่เหมาะสม! ข้าไม่รับปากแน่!’
เกาลั่วเสินจิตใจสับสนว้าวุ่น ตัดบทคำพูดโน้มน้าวของเกายงหรง
รอยยิ้มบนใบหน้าเกายงหรงเลือนหายไปแล้ว สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
นางลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปถึงด้านหน้าหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่ทางด้านใต้ในตำหนัก เหม่อมองไปด้านนอกเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวมา
‘อาหมี ตั้งแต่เล็กจนโต อาเจี่ยปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร’
เกาเฉียวแต่งองค์หญิงใหญ่เป็นภรรยา สองสามีภรรยาแม้จะรักบุตรสาวดุจสิ่งล้ำค่า แต่ความสัมพันธ์ไม่กลมเกลียวกัน ทั้งสองเพียงให้กำเนิดนางผู้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว
เกายงหรงแม้จะเป็นญาติผู้พี่หญิงร่วมสกุล แต่เนื่องจากโตกว่าเกาลั่วเสินห้าปี ตั้งแต่เล็กจนโตก็ดีต่อเกาลั่วเสินดุจน้องสาวแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ ขอเพียงมีของดีจะต้องให้เกาลั่วเสินเป็นคนเลือกก่อน
สิ่งของนอกกายเหล่านี้ก็ยังพอทำเนา
ปีที่เกาลั่วเสินอายุแปดขวบ ระหว่างออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ไม่ระวังไปชนถูกรังต่อเข้า ตอนตัวต่อไล่ต่อยนาง เกายงหรงไม่คำนึงถึงสิ่งใดโถมตัวเข้าไปบังนางให้อยู่ใต้ร่าง ถอดเสื้อของตนออกมาปิดบังใบหน้าและศีรษะนางไว้ รอจนบ่าวไพร่ไล่ตัวต่อไป เข้ามาช่วยพวกนางสองคน เกาลั่วเสินก็ยังปลอดภัยไม่มีอะไรบุบสลาย ส่วนเกายงหรงกลับถูกต่อต่อยอย่างหนัก หลังจากกลับไปก็หมดสติไปหลายวัน ถ้าไม่ใช่เพราะภายหลังได้ยาดีก็เกือบจะต้องจบชีวิตลงแล้ว
ความดีที่อาเจี่ยมีต่อนางแต่ละเรื่อง เกาลั่วเสินจะลืมได้อย่างไร
‘อาเจี่ย ท่านดีต่อข้ายิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ ทุกวันนี้ข้าก็ยังจำได้ ปีที่ข้าอายุแปดขวบ เพื่อจะช่วยข้า ท่านเกือบต้องจบชีวิต’
เกายงหรงมองจ้องเกาลั่วเสินนิ่ง พลันเดินมาตรงหน้าเกาลั่วเสิน แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้านาง
‘อาเจี่ย ท่านรีบลุกขึ้นมา! นี่ท่านจะทำอะไร!’
เกาลั่วเสินตระหนกตกใจรีบเข้าไปประคองเกายงหรง
‘อาหมี อาเจี่ยไม่เคยขอร้องอะไรเจ้า แต่ครั้งนี้อาเจี่ยขอร้องเจ้าแล้ว! หลี่มู่อาศัยความดีความชอบในการกรีธาทัพไปปราบทางเหนือ หลายปีมานี้ชื่อเสียงบารมีดุจดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน สองปีก่อนก็ฉวยโอกาสที่สกุลสวี่ก่อกบฏสังหารพวกสกุลลู่กับสกุลจูที่ชอบขัดขวางเขา วิธีการโหดเหี้ยมอำมหิต ทำทุกวิถีทางไม่เลือก มาบัดนี้ต้าอวี๋ของเราไม่มีใครสามารถบังคับหรือควบคุมเขาได้แล้ว เรื่องทุกอย่างในราชสำนักถูกหลี่มู่ควบคุมก็แล้วไปเถิด แต่ไม่ช้าก็เร็ว ใต้หล้านี้อาจต้องเปลี่ยนเป็นใต้หล้าของสกุลหลี่เขา’
‘อาเจี่ย…ต้าซือหม่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น…ถ้าเขามีใจคิดกบฏ สองปีก่อนก็ไม่จำเป็นต้องรับท่านกับเติงเอ๋อร์กลับมา…’
เกาลั่วเสินพึมพำขึ้น