ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 11-บทที่ 12
บทที่สิบเอ็ด
หยางเซวียนออกมาจากกระโจมที่เกาเฉียวอยู่แล้ว ทั้งหน้าผากแผ่นหลังก็เต็มไปด้วยเหงื่อร้อน คนยืนอยู่ตรงช่องลม ตากลมอยู่พักใหญ่ รอจนเหงื่อเบาลงบ้างแล้ว ในใจก็มีภาพท่าทีผิดปกติของสวี่มี่เมื่อครู่ก่อนที่ตอนแรกดูหงุดหงิดไม่พอใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับเป็นปกติผุดขึ้นมา
สกุลสวี่หลายปีมานี้เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลได้แอบต่อสู้กันอย่างลับๆ กับสกุลเกา สกุลลู่มาโดยตลอด
สกุลสวี่แม้จะได้รับประโยชน์ในฐานะพระประยูรญาติ แต่ไม่ว่าจะพูดถึงด้านชื่อเสียงบารมีหรือกำลังความเข้มแข็งของตระกูลแล้ว การคิดจะกดข่มสกุลเกาก็มีความเป็นไปได้ไม่มาก แต่กับสกุลลู่เนื่องจากกำลังความเข้มแข็งพอๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเสนอแนะการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งของบุตรหลานลูกศิษย์ลูกหาหรือการได้มาซึ่งผลประโยชน์ในท้องถิ่นที่แท้จริง ล้วนแต่ยิ่งช่วงชิงกันรุนแรง
ครั้งนี้ต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามของกำลังทหารที่มาจากเป่ยซย่า สวี่มี่ไม่เพียงสนับสนุนให้เกาเฉียวทำหน้าที่ผู้บัญชาการทหาร ยังแสดงท่าทีในราชสำนัก ให้เกาเฉียวโยกย้ายคนในกองทัพสกุลสวี่ใช้ได้ตามอำเภอใจ
อย่างไรเสียถ้ารังนกพลิกคว่ำ ยังจะมีไข่ในรังที่ไม่แตกอยู่หรือ ต่อให้สวี่มี่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตระกูลเพียงใดก็คงไม่โง่เขลาถึงกับไม่เห็นชะตากรรมของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญ และด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับชื่อเสียงที่ดีงามว่าเป็นผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
แต่นอกจากเหตุผลนี้แล้วเจตนารมณ์ของสวี่มี่เมื่อสืบสาวราวเรื่องลงไปถึงแก่นแท้ กลับหาได้มีเพียงแค่นั้น
คนนอกอาจไม่รู้ แต่หยางเซวียนกลับรู้อย่างกระจ่างชัด
ในช่วงเวลาที่เมฆหมอกแห่งสงครามกำลังแผ่ปกคลุมลงมา พวกเกาอวิ่นได้ไปจัดเตรียมการทำศึกที่เจียงเป่ยแล้ว ตามความเป็นจริงแล้วในต้าอวี๋ตอนนั้นทั้งราชสำนักและราษฎรตลอดจนเบื้องล่างเบื้องบนยังคงเต็มไปด้วยความท้อแท้ไม่มั่นใจ
เป่ยซย่าในอดีตตลอดเวลายี่สิบปีผ่านมาได้ทยอยยึดครองอำนาจการปกครองของชนต่างเผ่าน้อยใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวโหรวหราน ซยงหนู เซียนเปย พยายามรวบรวมดินแดนจงหยวนเป็นหนึ่ง
การศึกครั้งนี้ไม่ว่าจะดูจากจำนวนประชากรหรือกำลังทหาร เหนือใต้แตกต่างกันอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ แม้เกาเฉียวจะเคยกล่าวยืนยันในราชสำนักหลายครั้งเพื่อปลุกเร้าใจให้ฮึกเหิม โดยเห็นว่าเป่ยซย่าแม้จะดูเหมือนแข็งแกร่งเกรียงไกร แต่ความจริงแล้วภายในไม่มีพลังความเหนียวแน่น ถ้าต้าอวี๋ทั้งเบื้องล่างเบื้องบนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตัดสินใจสู้ตายกับพวกเขา ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเอาชนะได้ ทว่าเบื้องบนตั้งแต่ขุนนางในราชสำนัก ถึงเบื้องล่างราษฎรทั่วไป ทุกคนยังคงไม่มีความหวังว่าต้าอวี๋จะสามารถเอาชนะในการศึกครั้งนี้ได้สักเท่าใด
สวี่มี่เองก็ไม่ยกเว้น ครานั้นตอนส่งกำลังทหารไปก็อ้างเหตุเสริมการป้องกันทางตอนบนของแม่น้ำ แอบคงกำลังความแข็งแกร่งในแถบจิงเซียงที่ตนดูแลมานานปีเอาไว้
ตามการคิดคำนวณของสวี่มี่ สกุลเกาเป็นผู้นำในการทำศึกครั้งนี้ ถ้ารบแพ้ผู้ได้รับภัยพิบัติก่อนใครย่อมเป็นสกุลเกา สกุลสวี่ไม่เพียงไม่ต้องถูกประณาม ยังเป็นไปได้อย่างมากที่จะอาศัยกองกำลังทหารในเขตอำนาจของตนผืนนี้ ฉวยโอกาสในระหว่างที่สกุลเกาพบอุปสรรค ยึดอำนาจและเข้าแทนที่
ตอนนั้นดูจากการจัดวางกำลังของสวี่มี่ หยางเซวียนก็มองออกแล้ว รู้ว่าสวี่มี่หาได้ให้ความร่วมมืออย่างสุดกำลังเช่นที่รับปากเกาเฉียวไว้ก่อนหน้านี้ หยางเซวียนห่วงกังวลว่าจะไม่เป็นผลดีต่อการทำศึก ในใจจึงออกจะไม่ค่อยพอใจ
แต่ในฐานะขุนพลของกองทัพสกุลสวี่ เขาก็ได้แต่ต้องทำตามคำสั่ง
ที่สวี่มี่คิดไม่ถึงก็คือการทำศึกครั้งนี้ต้าอวี๋ไม่เพียงรบชนะแล้ว ยังได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วและงดงามเพียงนี้
และก็เป็นเพราะการทำศึกครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงบารมีของสกุลเกายิ่งรุ่งโรจน์โชติช่วง กลายเป็นทำให้สกุลสวี่ยิ่งอ่อนแอเป็นเท่าทวี
สกุลเกาก็แล้วไปเถิด แม้แต่สกุลลู่ที่เดิมก่อนการทำศึกมีอำนาจพอๆ กับสกุลสวี่ ดูแล้วด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมของบุตรหลานและการเกี่ยวดองผ่านการแต่งงานกับสกุลเกา ย่อมจะทิ้งสกุลสวี่ไว้ข้างหลัง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน นับแต่นี้ก็ยิ่งแน่นแฟ้นเชื่อมผนึกอยู่ด้วยกัน ที่ยืนสุดท้ายไม่กี่ส่วนของสกุลสวี่ในราชสำนักเกรงว่าคงจะต้องถูกช่วงชิงไปแล้ว
ขอถาม…สวี่มี่จะยินยอมได้อย่างไร
วันนี้กลับประจวบเหมาะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น หลี่มู่ผู้มาจากครอบครัวยากจนถึงกับมีความคิดจะขอแต่งงานกับบุตรสาวของเกาเฉียว
กล่าวสำหรับสวี่มี่แล้ว นี่มิใช่มีโอกาสอันเหมาะสมส่งมาพอดีหรือ
ถ้าเกาเฉียวยอมยกบุตรสาวให้แต่งงานกับหลี่มู่ เพื่อจะรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงอันดีงามของการเป็นคนที่รับปากแล้วไม่คืนคำ สกุลเกาไม่เพียงต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงในหมู่ตระกูลขุนนาง สกุลลู่เองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกคนหัวเราะเยาะ ไม่เพียงแค่นั้น…ระหว่างสองสกุลก็ต้องเกิดความร้าวฉาน
ถ้าเกาเฉียวปฏิเสธการขอแต่งงานของหลี่มู่ โดยอ้างเหตุผลเรื่องตระกูลขุนนางกับสามัญชนไม่แต่งงานกัน และยังคงผูกสัมพันธ์กับสกุลลู่ผ่านการแต่งงานต่อไป ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าเป็นคนไม่รักษาคำพูด กับหลี่มู่เองก็ย่อมกลายเป็นศัตรูไม่มองหน้ากัน
เรื่องนี้ไม่ว่าผลในท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร กล่าวสำหรับสกุลสวี่แล้วล้วนเป็นการซื้อขายที่มีแต่กำไรไม่มีทางขาดทุน แล้วเขาจะขัดขวางได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความเข้าใจที่หยางเซวียนมีต่อสวี่มี่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าเขาน่าจะยินดีที่จะได้เห็นหลี่มู่ขอแต่งงานสำเร็จมากกว่า
ถึงแม้หลี่มู่เพราะได้เป็นบุตรเขยของสกุลเกา วันหน้าจึงไปพึ่งพาอาศัยสกุลเกา แต่กล่าวสำหรับตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์แล้ว คุณค่าของขุนพลที่ห้าวหาญผู้หนึ่งก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ได้สะดวกชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ถ้าเครื่องมือนี้คุกคามตนในวันข้างหน้าก็กำจัดทิ้งเสียแล้วกัน
ผลประโยชน์ของตระกูลต่างหากที่จัดอยู่ในอันดับหนึ่งเสมอ
ด้วยอายุของหลี่มู่และประสบการณ์ชีวิตในช่วงก่อนหน้านี้ เขาไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์เหล่านี้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดได้ยาวไกลเช่นนี้
คิดดูแล้วครั้งนี้หลี่มู่คงเพียงฮึกเหิมเลือดร้อน ผ่านโลกมาไม่มาก ถึงได้คิดจะขอแต่งงานกับบุตรสาวสกุลเกาเท่านั้น
หลี่มู่อาจไม่รู้ว่าการกระทำในครั้งนี้ของเขาถึงกับกลายเป็นมีดเล่มหนึ่งที่อาจจะทำลายความสมดุลในการต่อสู้แข่งขันเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างสกุลเกา สวี่ ลู่ สามตระกูลขุนนางชั้นสูงสุดของราชสำนักที่ดูเหมือนรักษาความสมดุลมาได้อย่างยาวนานโดยไม่รู้ตัว
หยางเซวียนใคร่ครวญถึงห่วงโซ่สำคัญที่อยู่ภายในเรื่องนี้ได้แล้วก็อดสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ เหงื่อร้อนที่เพิ่งเบาลงพลันผุดขึ้นมาอีก
พลังอำนาจของตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์น่ากลัวเพียงใด เขารู้ดีอย่างที่สุด
ตระกูลเหล่านั้นสามารถเค้นคอครอบครัวสามัญชนอย่างพวกเขาไม่ให้อยู่รอด ทำให้ลูกหลานชนรุ่นหลังของพวกเขาไม่มีวันเงยหน้าอ้าปากได้ นับเป็นเรื่องที่ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
หยางเซวียนไม่ลังเลต่อไปอีก ตัดสินใจไปหาหลี่มู่เดี๋ยวนี้
จำเป็นต้องให้หลี่มู่รู้ว่ายากแล้วถอยเสีย จะได้ไม่ถูกพัดม้วนเข้าไปอยู่ในกระแสคลื่นใต้น้ำของการต่อสู้แย่งชิงของตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์ในครั้งนี้โดยไม่รู้ตัว หาไม่เกรงว่าวันหน้าจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้
หยางเซวียนปาดๆ เหงื่อ รีบสาวเท้าเดินจากไป กลับได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้าง “ขุนพลหยาง โปรดหยุดก่อน!”
หยางเซวียนหันหน้าไป เห็นชายหนุ่มหลายคนมายืนอยู่ตรงข้าม