ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 11-บทที่ 12
คนหนึ่งคือเกาหวนหลานชายของเกาเฉียว อีกคนดูเหมือนจะเป็นลู่ฮ่วนจือแห่งสกุลลู่ เขาสวมหมวกใหญ่รองเท้าสูง เท้าเอวยืนอยู่ที่นั่น มองตนด้วยแววตาเฉยเมย
บุรุษอีกคนที่อยู่ด้านข้างของคนทั้งสองดูอายุมากกว่า อยู่ในวัยพอๆ กับหลี่มู่ อายุราวยี่สิบกว่า รูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา ท่วงทำนองดุจหยกงาม แต่ช่วงหว่างคิ้วกลับมีกลิ่นอายของความองอาจผึ่งผายที่ยากจะพบเห็นในหมู่บุตรหลานตระกูลขุนนาง เมื่อเปรียบกับบรรดาบุตรหลานตระกูลขุนนางที่ผัดแป้งทาชาดนั่งรถเทียมวัวจากในเมืองมาดูการปูนบำเหน็จกองทัพที่พบเห็นอยู่ทั่วทุกหนแห่งในวันนี้แล้ว คนผู้นี้ก็ไม่ต่างอะไรกับนกกระเรียนในฝูงไก่ ดูโดดเด่นสะดุดตาคนยิ่ง
บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็คือลู่เจี่ยนจือ บุตรชายคนโตของสกุลลู่ผู้มีชื่อเสียง
วันนี้ฮ่องเต้ซิงผิงเสด็จมาปูนบำเหน็จกองทัพ ชื่อของเขาก็โดดเด่นอยู่ในรายชื่อนายทหารผู้มีคุณูปการ ทั้งยังมีผลงานปราบกบฏหลินอี้ในช่วงก่อน ได้รับการปูนบำเหน็จพร้อมกันทั้งสองผลงาน อายุยังน้อยก็ได้เลื่อนขั้นเป็นข้าหลวงรับใช้ส่วนพระองค์และขุนพลเจี้ยนเวย
หยางเซวียนย่อมรู้จักเขา แต่เพราะฐานะแตกต่างกันมาก ปกติจึงไม่ได้คบค้าสมาคมกัน ยามนี้เขามุมปากเจือรอยยิ้มอบอุ่น แขนเสื้อต้องลม กำลังเดินตรงมาที่ตน หยางเซวียนอดแปลกใจไม่ได้ ก่อนรีบเดินเข้าไปหา
ลู่เจี่ยนจือกล่าว “ได้ยินชื่อท่านขุนพลมานาน วันนี้โชคดีได้มาพบตัวจริง ช่างองอาจห้าวหาญสมคำเล่าลือ”
หยางเซวียนยิ่งประหลาดใจมากขึ้น
เขาได้ยินมานานแล้วว่าลู่กวงแต่ไรมาเป็นคนหยิ่งผยองในฐานะของตน ให้ความสำคัญต่อความแตกต่างระหว่างตระกูลขุนนางกับสามัญชนอย่างมาก กลับคิดไม่ถึงว่าลู่เจี่ยนจือคุณชายใหญ่แห่งสกุลลู่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังถึงกับมีท่าทางเฉกเช่นเกาเฉียว ในคำพูดคำจาไม่มีท่าทีหยามหมิ่นตนที่เป็นขุนพลจากครอบครัวต่ำต้อยยากจนแม้แต่น้อย เขารีบบอก “คุณชายยกย่องเกินไปแล้ว หยางเซวียนละอายมิกล้ารับ”
ทักทายกันเสร็จแล้ว ลู่เจี่ยนจือก็กล่าวขึ้น “ท่านขุนพลมีอานุภาพเหนือผู้คน หลี่มู่ที่อยู่สังกัดของท่านก็หาใช่ธรรมดา ศึกใหญ่เจียงเป่ยในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างคุณูปการอันยอดเยี่ยม ทำศึกครั้งเดียวก็มีชื่อเสียงโด่งดัง ก่อนหน้านี้ยังช่วยจื่อเล่อมาจากแนวหน้า ความกล้าหาญของหลี่มู่ทำให้คนเลื่อมใสศรัทธา แต่ไรมาข้าก็เห็นจื่อเล่อเป็นดั่งน้องชายแท้ๆ ของตน อยากจะกล่าวขอบคุณหลี่มู่มานานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้การศึกพัวพัน ยังไม่เคยมีโอกาส มาบัดนี้เจียงเป่ยสงบลงแล้ว นับเป็นโอกาสอันดี ใกล้จะถึงเทศกาลฉงหยางแล้ว พี่น้องในเมืองเจี้ยนคังแต่ไรมาก็จะหาความสนุกสนานด้วยการปีนเขาในวันเทศกาลฉงหยาง ในวันนั้นข้าอยากจะเชิญหลี่มู่มาปีนภูเขาฟู่โจวที่อยู่ทางตอนเหนือของเมือง ร่วมชมทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ร่วงด้วยกัน รบกวนท่านขุนพลช่วยถ่ายทอดคำพูดแทนข้าด้วย อีกสองสามวันข้าจะส่งเทียบเชิญมาให้เพื่อแสดงถึงความจริงใจ”
หยางเซวียนต้องประหลาดใจอีกครั้ง เขารีบพยักหน้า “ได้รับการเชื้อเชิญจากคุณชายเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่ง ข้าขอขอบคุณคุณชายแทนหลี่มู่ ข้าจะไปบอกเขาเดี๋ยวนี้”
ลู่เจี่ยนจือผงกศีรษะ หยางเซวียนประสานมือกล่าวอำลาแล้วจึงเดินจากไป
ขณะที่ทั้งสองสนทนากันเมื่อครู่ เกาหวนอยู่ที่ด้านข้างโดยตลอด เห็นหยางเซวียนจากไปแล้ว ใบหน้าก็เผยแววดีใจ เดินเข้ามาบอกว่า “ขอบคุณต้าซยงที่ช่วยให้บรรลุผลสมปรารถนา!”
สีหน้าบ่งบอกว่ารู้สึกขอบคุณอย่างมากล้นจนเกินถ้อยคำ
ลู่เจี่ยนจือบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ถึงเจ้าไม่เอ่ยปาก ข้าก็คิดจะขอบคุณเขาอยู่แล้ว สบโอกาสอันดีนี้เข้าพอดี ถึงตอนนั้นต้าซยงจะเชิญคนที่มีชื่อเสียงในเมืองเจี้ยนคังมาให้ทั่ว…เป็นอย่างไร”
เกาหวนดีใจอย่างมาก ทว่าลู่ฮ่วนจือที่อยู่ด้านข้างกลับย่นหัวคิ้วแสดงความเห็นแย้ง “ต้าซยง เขาช่วยจื่อเล่อไว้ พวกเราย่อมต้องขอบคุณ เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องระดมผู้คนใหญ่โตเพียงนี้”
ลู่เจี่ยนจือหันมามองลู่ฮ่วนจือ สายตาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเขา
เช้านี้ลู่ฮ่วนจือออกจากเมืองมาชมงานพิธี ได้ทาขี้ผึ้งหอมบนใบหน้า ทั้งผัดแป้งไว้อย่างละเอียดชั้นหนึ่ง เวลาผ่านมาหนึ่งวันชั้นแป้งหลุดร่อนผสมปนเปกับเหงื่อ ทิ้งรอยคราบไว้บนหน้าผากเป็นแนว คราบแป้งสกปรกบางส่วนยังติดอยู่บนคิ้ว ดูแล้วไม่สุภาพเรียบร้อยสักเท่าใด
เกาหวนมองตามสายตาของลู่เจี่ยนจือ ทนไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา รู้สึกขบขันแล้ว
ครานี้ลู่ฮ่วนจือจึงได้รู้ตัว ลูบๆ ใบหน้า เอ่ยแก้ตัวเบาๆ “ตอนแรกก็ไม่ได้อยากทาหรอก แต่พวกที่มาด้วยกันเหล่านั้น ทุกคนต่าง…”
ลู่เจี่ยนจือย่นหัวคิ้วน้อยๆ “ลูกผู้ชายที่องอาจผึ่งผาย วันๆ กลับเอาแต่แต่งหน้าทาแป้ง มิน่าชนทางเหนือถึงได้เยาะเย้ยถากถางชาวใต้เราว่ามีแต่แม่บ้านกับเด็กที่ยังกินนมอยู่…”
ลู่ฮ่วนจือหน้าแดงหูแดง รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่ง แล้วเช็ดใบหน้าแรงๆ
เกาหวนหัวเราะจนหยุดแล้วก็ไม่อาจทนเห็นสหายรักตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ รีบช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ลงเอยด้วยดี ใจคอเบิกบานยิ่ง
ท่านลุงไม่รับปาก เช่นนั้นก็ถอยแล้วขอร้องอันดับรองลงมา สามารถเชิญในนามของลู่เจี่ยนจือก็ใช้ได้เช่นกัน คิดว่าถ้าหลี่มู่ทราบข่าวคงจะดีใจเป็นแน่
เดิมทีเกาหวนคิดจะไปหาหลี่มู่ด้วยตนเอง แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งห้ามของท่านลุง แม้ครุ่นคิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจ ลึกๆ ในใจเขายิ่งไม่พอใจ แต่สุดท้ายยังคงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งอย่างโจ่งแจ้งจึงไปหาลู่เจี่ยนจือแทน ในที่สุดก็บรรลุความปรารถนา
เขาระงับจิตใจที่เฝ้ารอคอยเอาไว้ ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด เพียงตั้งตารอให้วันเทศกาลฉงหยางมาถึงเร็วหน่อยจึงจะดี