ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 11-บทที่ 12
ปกติช่วงเวลานี้จวนสกุลเกาจะปิดประตูแล้ว และเกาลั่วเสินก็จะเข้านอนไปนานแล้ว
แต่คืนนี้ทั้งจวนสกุลเกากลับยังจุดโคมไฟสว่างไสว เกาชีพาบ่าวไพร่ในจวนชะเง้อคอรอคอยการกลับมาของเจ้าบ้านฝ่ายชายอยู่ที่ลานด้านนอก
เกาลั่วเสินยามนี้กำลังอยู่เป็นเพื่อนเซียวหย่งจยา
เซียวหย่งจยาเห็นบุตรสาวอ้าปากหาวจึงบอกให้นางกลับห้องไปนอนก่อน
เวลาเช่นนี้ต่อให้ง่วงนอนเพียงใด เกาลั่วเสินก็ไม่มีทางไปนอนก่อนแน่
นางถ่างตาจนกลมโต สั่นศีรษะ “ลูกไม่ง่วงเจ้าค่ะ ลูกจะรออาเหยียกลับมา อาเหนียง ลูกจะช่วยหวีผมให้ท่าน”
เกาลั่วเสินมีเส้นผมที่ดำขลับงดงาม ตอนปล่อยสยายอยู่ภายใต้แสงโคมแลคล้ายผ้าแพรไหมเนื้อดีที่งดงามเป็นมันวาว เหล่านี้ล้วนได้มาจากมารดาเซียวหย่งจยาทั้งสิ้น
เส้นผมดำทั้งศีรษะของเซียวหย่งจยางามจนเคยมีคนใช้เงินพันตำลึงจ้างคนแต่งบทกวีให้ เรื่องนี้ถึงกับแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง
เกร็ดประวัติเรื่องนี้ เมื่อปีกลายมีอยู่ครั้งหนึ่งอาจวี๋ดื่มสุราเมาแล้วตอนพูดจ้ออยู่กับเกาลั่วเสินได้หลุดปากพูดออกมาโดยไม่เจตนา เล่าว่าตอนองค์หญิงใหญ่โตพอๆ กับเกาลั่วเสินในเวลานี้ เวลานั้นสกุลมู่หรงแห่งเซียนเปยยังไม่ถูกล้มล้าง ยังจงรักภักดีอยู่ภายใต้ร่มธงของต้าอวี๋ เคยส่งทูตลงใต้มาที่เมืองเจี้ยนคัง เข้าเฝ้าอดีตฮ่องเต้
ตอนนั้นในคณะทูตมีชายหนุ่มเชื้อพระวงศ์เซียนเปยผู้หนึ่ง บังเอิญได้พบองค์หญิงชิงเหอเข้าในงานเลี้ยงฉลองที่อดีตฮ่องเต้จัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะทูต และเกิดความลุ่มหลงในตัวองค์หญิง ไม่เพียงเลียนแบบคนทางใต้ทุ่มเงินก้อนโตจ้างคนแต่งบทกวี ถ่ายทอดความเลื่อมใสศรัทธาที่ตนมีต่อองค์หญิง ถึงกับยังหวังว่าต้าอวี๋จะยอมให้องค์หญิงแต่งงานกับตนด้วย
แน่นอนว่าอดีตฮ่องเต้จะยอมให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ พระธิดาที่ทำให้ตนภาคภูมิใจแต่งไปอยู่แคว้นใต้อาณัติทางเหนือ ที่ฐานะบ้านเมืองไม่มั่นคงจะล้มมิล้มแหล่ได้อย่างไร จึงอ้างเหตุผลว่าองค์หญิงได้หมั้นหมายแล้ว ปฏิเสธชาวเซียนเปยผู้นั้น ชาวเซียนเปยผู้นั้นจึงจากไปด้วยความผิดหวัง
ผ่านไปหลายปีสิ่งของทุกอย่างยังอยู่คงเดิมแต่คนเปลี่ยนไปแล้ว
องค์หญิงในอดีตเวลานี้เป็นมารดาคนแล้ว ส่วนบ้านเมืองของชาวเซียนเปยก็ถูกชาวเจี๋ยล้มล้างไปเช่นกัน มู่หรงซีเชื้อพระวงศ์ผู้นั้น หลังจากยอมจำนนต่อเป่ยซย่า ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นต้าหนิงโหว เนื่องจากเชี่ยวชาญการยกทัพจับศึก จึงได้รับการขนานนามว่าขุนพลผู้ห้าวหาญอันดับหนึ่งแห่งทางเหนือ
ส่วนบทกวีที่แลกมาด้วยเงินก้อนโตบทนั้นก็สลายกลายเป็นคลื่นหมอกควันเหนือผิวน้ำบนแม่น้ำฉินไหว* ไปนานแล้ว ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้เห็นอีก
แต่จากคำพูดของอาจวี๋ บทกวีทั้งบทบรรยายได้อย่างลึกซึ้งมีสีสัน ใช้วาทศิลป์ต่างๆ ที่งดงามที่สุดพรรณนาและชื่นชมความงามขององค์หญิงอย่างไม่สงวนถ้อยคำแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเส้นผมดำขลับนั่น ยิ่งพรรณนาจนทำให้คนหลงใหลใฝ่ฝันหาในความงาม
ตอนนั้นหลังจากอาจวี๋ฟื้นจากความเมามายก็เอาแต่ปฏิเสธ บอกที่เล่ามาทั้งหมดตนเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นมาเอง บอกเกาลั่วเสินอย่าถือเป็นเรื่องจริงจังเป็นอันขาด
ไม่ว่าเรื่องที่อาจวี๋พลั้งปากเล่ามาหลังจากดื่มสุราจะจริงหรือเท็จ ส่วนลึกของหัวใจเกาลั่วเสินก็ยังรู้สึกว่าเรื่องในอดีตของบิดามารดามีแต่ยิ่งถูกปิดคลุมไปด้วยความลึกลับอีกชั้นหนึ่ง
เซียวหย่งจยาแม้เวลานี้จะอยู่ในวัยสามสิบหกปีแล้ว แต่เส้นผมยาวทั้งศีรษะยังคงดำขลับเป็นประกายแวววาว
คืนนี้อาเหยียจะกลับมาแล้ว
ด้วยความรู้สึกส่วนตัวเล็กๆ ที่ไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้ของตน เกาลั่วเสินพลันอยากจะช่วยหวีผมให้มารดา เส้นผมจะได้ดูแล้วยิ่งนุ่มลื่นสลวยเงางาม ตราตรึงประทับใจคน
เกาลั่วเสินหยิบหวีหยกสีเขียวอมดำ กดร่างเซียวหย่งจยาให้นั่งลงตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ตนเองนั่งอยู่ด้านหลังนาง หันหน้าเข้าหาคันฉ่องแล้วหวีผมให้มารดาอย่างเบามือ
หลังจากหวีเสร็จเกาลั่วเสินก็เรียกสาวใช้ฝีมือดีมาเกล้ามวยผมทรงหุยซิน ที่มารดาชื่นชอบ แล้วใช้นิ้วก้อยของตนแตะขี้ผึ้งทาปากกุหลาบที่เพิ่งปรุงขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเล็กน้อย แตะไปที่กลีบปากทั้งสองของมารดาเบาๆ
ขี้ผึ้งทาปากชุ่มชื้นและเนียนละเอียด เมื่อแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากก็ดูงามสดใสดุจบุปผา กลิ่นหอมจางซึมซาบเข้ามาในจมูก
เกาลั่วเสินปกติไม่ค่อยชอบใช้ของเหล่านี้ แต่ก็ชอบกลิ่นเช่นนี้
ระหว่างที่นางมือไม้ยุ่งวุ่นวาย เซียวหย่งจยาแม้ปากจะบ่นว่าไม่หยุด แต่กลับยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ยิ้มพลางปล่อยให้บุตรสาวช่วยหวีผมแต่งแต้มริมฝีปากให้ตน
“อาเหนียง อาเหยียเหน็ดเหนื่อยเพียงนั้น ลำบากไม่น้อยกว่าจะได้กลับบ้าน ตอนกลางคืนท่านก็อย่าไล่เขาไปนอนที่ห้องหนังสือเลย ดีหรือไม่”
เกาลั่วเสินชะโงกหน้ามาจากด้านหลัง แขนที่นุ่มนิ่มสองข้างโอบกอดหัวไหล่ทั้งสองของเซียวหย่งจยา แนบริมฝีปากมาที่ข้างใบหูนาง เอ่ยวิงวอนขอร้องเบาๆ
เซียวหย่งจยาหันหน้ามา มองสบนัยน์ตาสุกใสแวววาวเจือไปด้วยการเฝ้ารอคอยคู่นั้นของบุตรสาว ในใจพลันแปลบปลาบ
ยังไม่ทันได้เปิดปากก็ได้ยินเสียงอาจวี๋ดังมาจากข้างนอก “เรียนองค์หญิงใหญ่ เซี่ยงกงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เกาลั่วเสินหันไปมองมารดาทันที
เซียวหย่งจยาเบือนหน้าไป กล่าวเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าออกไปต้อนรับก็แล้วกัน”
เกาลั่วเสินรู้ว่าไม่อาจใจร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะคาดหวังให้มารดาออกไปต้อนรับบิดาในตอนนี้เหมือนกับตน นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นางจึงพยักหน้า “อาเหนียงพักผ่อนก่อน ลูกจะไปต้อนรับอาเหยีย”
เกาเฉียวเดินเข้ามาในโถงด้านหลัง เห็นบุตรสาวออกมาต้อนรับตนแต่ไกล ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มทันที สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาด้านใน
คนในครอบครัวได้พบหน้ากันเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด เนื่องจากค่อนข้างดึกแล้วพูดคุยกันได้ไม่กี่คำเกาเฉียวก็บอกให้เกาลั่วเสินกลับห้องไปพักผ่อน
“อาเหยีย เพิ่งจะไม่กี่เดือน ท่านก็ผอมและดำไปมาก วันนี้ท่านคงเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นก็พักผ่อนเร็วหน่อยเถิด อาเหนียงยังไม่นอน อยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
ก่อนเกาลั่วเสินจะจากไป ได้หันไปกล่าวกับบิดา
เกาเฉียวยิ้มพลางพยักหน้า มองอาจวี๋เดินเป็นเพื่อนบุตรสาว รอจนเงาร่างทั้งสองค่อยๆ หายลับไป สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้ว สั่งบ่าวไพร่ในส่วนต่างๆ ให้แยกย้ายกันไป
มีบ่าวไพร่จัดเตรียมน้ำอาบไว้ให้แล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จ เกาเฉียวสวมเสื้อตัวในสีขาวที่สวมเป็นประจำเวลาอยู่บ้าน เดินไปห้องนอนด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง
ประตูแง้มอยู่ ข้างในแสงเทียนส่องสว่าง