บทที่สิบสอง
เกาเฉียวหวดแส้ควบม้าเร่งความเร็วมาตลอดทาง เร่งรุดมายังค่ายทหารที่ยังหยุดพักแรมอยู่นอกเมืองทางทิศเหนือชั่วคราว พอเข้าไปใกล้ในระดับที่มองเห็นแล้วเขากลับผ่อนฝีเท้าม้าลง
ประตูค่ายทหารก็อยู่ข้างหน้าไม่ไกลนี้แล้ว ระยะห่างชั่วยิงธนูไปถึง แต่เกาเฉียวกลับหยุดม้าลง เบิกตามองไปยังประตูค่าย เกิดอาการลังเลขึ้นมา
“ต้าจยา”
เมื่อครู่เกาชีขี่ม้าไล่ตามหลังมาตลอด ยามนี้ในที่สุดก็ตามมาทันแล้ว เมื่อเห็นเกาเฉียวหยุดลง เขาจึงเอ่ยถาม
“กลับไป! สั่งหลี่มู่ให้ออกหน้าปฏิเสธเรื่องนี้” เกาเฉียวกล่าว
เกาชีลังเลอยู่ชั่วขณะ “ถ้าเขาไม่ยอม…”
“ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว!”
เกาเฉียวกล่าวเสียงเยียบเย็น พูดพลางหันหัวม้ากลับ ขณะกำลังจะกระตุ้นม้าจากไป พลันได้ยินเสียงหัวเราะคุ้นหูดังตามลมมาจากทางด้านหลัง
“จิ่งเซิน! เจ้ามาได้ประจวบเหมาะยิ่ง! พี่ชายผู้โง่เขลากำลังคิดจะไปหาเจ้าอยู่พอดี”
เกาเฉียวหันมองไปตามเสียง เห็นในประตูค่ายมีคนออกมาหลายคน คนที่อยู่ด้านหน้าสุดก็คือสวี่มี่ ข้างหลังเขายังมีพวกหยางเซวียนตามมา ไม่มีคนใดสีหน้าไม่ยิ้มแย้ม พวกเขากำลังสาวเท้าเร็วๆ มาที่ตน
เกาเฉียวหัวคิ้วขยับเข้าหากันน้อยๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พลิกตัวลงจากหลังม้า
“จิ่งเซิน เมื่อครู่พี่ชายผู้โง่เขลาบังเอิญมาที่ค่ายทหาร คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินข่าวดีอันยิ่งใหญ่เข้าพอดี บอกหลี่มู่ขอแต่งงาน จิ่งเซินก็ทำตามคำมั่นในวันนั้น รับปากอย่างใจป้ำจะให้บุตรสาวแต่งกับเขา เป็นคนที่รับปากแล้วไม่คืนคำอย่างแท้จริง พี่ชายผู้โง่เขลารู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ทหารหาญในค่ายเหล่านั้นพอได้ยินข่าวแล้วก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิมเร่าร้อน คำร้องขอของหลี่มู่ในครั้งนี้ เวลานี้แม้ดูแล้วจะเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามล่วงเกิน แต่ข้าเห็นว่าเขาไม่ธรรมดา วันหน้าจะต้องมีผลงานยิ่งใหญ่ จิ่งเซินได้บุตรเขยที่ดีเช่นนี้ช่างน่ายินดียิ่งนัก!”
สวี่มี่พูดจบก็หัวเราะเสียงดัง เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดึงดูดความสนใจของทหารที่อยู่บริเวณใกล้เคียงไม่น้อย
บรรดาทหารค่อยๆ ห้อมล้อมเข้ามามองเกาเฉียว ต่างมีสีหน้าปีติยินดี
หยางเซวียนกดข่มความระแวงและความร้อนใจต่างๆ ในใจเอาไว้ ลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วก้าวเข้ามาคารวะเกาเฉียว ใบหน้าเผยรอยยิ้ม “ผู้น้อยขอบคุณเซี่ยงกงแทนหลี่มู่…”
เกาเฉียวไม่รอให้เขาพูดจบก็โบกๆ มือ ตัดบทคำพูดของเขา
เกาเฉียวเหลือบตาขึ้นกวาดมองไปรอบด้านช้าๆ รอบหนึ่ง เพิ่มเสียงสูงขึ้น “คำพูดนี้ไม่เป็นความจริง คิดว่าคงมีเรื่องเข้าใจผิดกัน ยิ่งไม่รู้ว่าผู้ใดกระพือข่าวทำให้เกิดคำเล่าลือที่ผิดๆ จนถึงขั้นนี้!”
เขาพูดจบก็หันไปทางหยางเซวียน
“ขุนพลหยาง รบกวนเจ้านำคำพูดของข้าไปถ่ายทอดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย หวังว่าทุกคนจะรู้กันทั่ว หลี่มู่นั้นข้ามีความชื่นชมเป็นอย่างมาก แต่เรื่องแต่งงานกับบุตรสาวนั้น เป็นเรื่องเสกสรรปั้นเท็จอย่างแท้จริง ไม่มีเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”
หยางเซวียนตะลึงงัน
บรรดาทหารที่อยู่รอบด้านรอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหาย ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ มีเสียงอึงอลดังขึ้นมาเบาๆ
ในสายตาของทหารธรรมดาทั่วไปเหล่านี้ หลี่มู่มีชื่อเสียงบารมียิ่ง
เช้าวันนี้ตอนได้ยินข่าวที่ไม่รู้เริ่มต้นมาจากที่ใดเรื่องนี้ คนเหล่านี้ไม่มีใครไม่ตื่นเต้นดีใจ ในส่วนลึกของหัวใจถึงกับเกิดความรู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีอย่างหนึ่ง
ขุนนางกับสามัญชนแบ่งแยกกันอย่างเข้มงวด ฐานะสูงศักดิ์ต่ำต้อยเพียงมองปราดเดียวก็รู้
แต่หลี่มู่กลับทลายน้ำแข็งที่แข็งแกร่งลงแล้ว เขาทำในเรื่องที่เมื่อก่อนพวกเขาคนเหล่านี้กระทั่งฝันก็ยังไม่เคยฝันได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมากกับข่าวนี้ ไม่ถึงครึ่งวันก็เล่าลือจนรู้กันทั่วทั้งค่ายแล้ว
“ซือถู ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน!”
เกาเฉียวไม่พูดอะไรมาก เหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าจากไป
สวี่มี่มองเงาด้านหลังที่จากไปของเกาเฉียว หรี่ตาลง รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้งอย่างเห็นได้ชัด