ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 13-บทที่ 14
ระหว่างการยิงธนูเพื่อสังหารคนซึ่งผ่านการฝึกฝนมาจากในสนามรบที่สับสนวุ่นวาย กับท่วงท่าการยิงธนูอันประณีตงดงามถือเป็นความภาคภูมิใจของบุตรหลานตระกูลขุนนางที่ฝึกฝนยิงธนูตั้งแต่เล็ก ย่อมมีความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน
ในสนามรบที่เข่นฆ่าสังหารจนนัยน์ตาแดงไปด้วยโลหิต ไม่มีเวลาและไม่มีโอกาสให้ผู้ยิงธนูหรือหน้าไม้สามารถปล่อยลูกธนูของตนออกไปจากมุมที่ดีที่สุดได้เสมอไป
นอกจากพยายามถือคันธนูให้นิ่ง เล็งให้แม่น เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้วก็ไม่มีกฎเกณฑ์อื่นในการเอาชีวิตรอดอีก
ด้วยเหตุนี้ยอดมือยิงธนูและหน้าไม้ที่ผ่านการทำศึกมามากมายแล้วยังสามารถมีชีวิตรอดมาได้ ย่อมไม่มีคนใดไม่ใช่อาวุธสังหารคนชั้นยอด
ท่วงท่าของพวกเขาอาจไม่งดงาม การเคลื่อนไหวยิ่งไม่อาจทำให้คนรู้สึกเจริญหูเจริญตา แต่สามารถใช้เวลาสั้นที่สุดยิงลูกธนูที่แม่นยำที่สุด มีอานุภาพในการเอาชีวิตได้มากที่สุด นี่ก็คือวิธีเดียวที่ทำให้พวกเขาเอาชีวิตรอดจากสนามรบมาได้ทุกครั้ง
ในช่วงสองสามปีแรกของการเข้าร่วมกองทัพ หลี่มู่เคยเป็นมือยิงธนูและหน้าไม้อยู่เป็นเวลานาน
เขาเคยเป็นมือยิงธนูและหน้าไม้ที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง
แทบจะเพียงแค่เดินไปแล้วก็เดินกลับมา หลี่มู่ก็วางคันธนูและธนูลงแล้ว
เขาไม่มีความลังเลแม้ชั่วขณะ เลือกหมุนตัวมุ่งไปยังทิศทางของภูเขาพยัคฆ์
ลู่เจี่ยนจือมองเงาด้านหลังที่มุ่งไปทางภูเขาพยัคฆ์ของหลี่มู่ สายตาก็ชะงักนิ่ง สีหน้าปรากฏแววเหม่อลอย
ครู่หนึ่งเขาพลันหมุนตัว ถึงกับหันไปยังทิศทางนั้น สาวเท้าเร็วๆ ไล่ตามหลี่มู่ไป
คนทั้งสอง คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ปีนป่ายจนมาถึงที่ตั้งของภูเขาพยัคฆ์
ข่าวนี้ถูกส่งไปยังแท่นชมทัศนียภาพอย่างรวดเร็ว
ด่านที่สองของคนทั้งสองก็นับว่าเสมอกัน
แต่ไม่รู้ว่าลู่เจี่ยนจือคิดอย่างไร ในด่านสุดท้ายถึงกับละทิ้งการอภิปรายถกปัญหา เลือกที่จะไปภูเขาพยัคฆ์เช่นเดียวกับหลี่มู่
ผลที่ออกมาเช่นนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง
เห็นชัดว่าลู่กวงเองก็ไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้ากับการตัดสินใจเลือกของบุตรชาย
เขาดูเหมือนจะตกตะลึงยิ่ง อีกทั้งน่าจะไม่ค่อยพอใจ แต่เพียงครู่เดียวก็อำพรางความรู้สึกของตนเอาไว้ได้ นั่งสงบเสงี่ยมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เกาเฉียวมองไปยังทิศที่ตั้งของภูเขาพยัคฆ์ หัวคิ้วขมวดแน่น คนอื่นที่เหลือก็พากันวิพากษ์วิจารณ์และยืนขึ้นมา เหลียวมองไปไม่หยุด รอผลลัพธ์ในท้ายที่สุดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ภูเขาพยัคฆ์แม้มีชื่อว่า ‘ภูเขา’ แต่ความจริงแล้วเป็นถ้ำในภูเขาที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ แต่ก่อนในถ้ำแห่งนี้ใช้ขังสัตว์ร้ายที่จะนำมาต่อสู้เข่นฆ่ากันเพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่ตระกูลสูงศักดิ์ ต่อมาภายหลังเลิกใช้ไป แต่ยังคงรักษาชื่อเรียกเอาไว้มาโดยตลอด
และวันนี้…ที่นี่ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง
อุปสรรคในด่านที่สามก็คือเสือดุร้ายที่ถูกขังไว้ในถ้ำตัวหนึ่ง
เสือร้ายตัวนี้ไม่เพียงผ่านการเข่นฆ่าสังหารพวกเดียวกันมาหลายครั้งจนได้รับการยกย่องเป็นจอมสังหารมาถึงวันนี้เท่านั้น แต่ช่วงสามวันมานี้มันยังไม่เคยได้รับการป้อนอาหารจนอิ่ม
ระดับขั้นของความกระหายหิวและโหดร้ายไม่ต้องบอกก็รู้ได้
ถ้ำเสือตั้งอยู่ด้านล่างในโพรงที่เว้าลึกลงไป ทางเข้าเป็นผนังผาสูงชัน มีหินตะปุ่มตะป่ำรูปร่างประหลาด อาศัยกำลังปีนป่ายขึ้นลงได้ ในถ้ำมีแสงสว่างสลัวๆ คนยืนอยู่ที่ปากถ้ำไม่อาจมองเห็นสภาพที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ เพียงได้ยินเสียงคำรามด้วยความอึดอัดของเสือดังแว่วมาเป็นระยะไม่ขาดสายเท่านั้น
ปากถ้ำมีผู้ฝึกสัตว์ยืนอยู่คนหนึ่ง จมูกโด่งนัยน์ตาสีฟ้า เป็นชนต่างเผ่า เห็นหลี่มู่กับลู่เจี่ยนจือปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกันที่ด่านแห่งนี้ก็เดินเข้ามารับหน้า ค้อมคำนับแล้วบอก “เสือร้ายอยู่ในถ้ำด้านล่าง ตรงที่บ่าวอยู่นี้เป็นทางเข้า ทางออกอยู่ด้านตะวันตก ท่านทั้งสองต้องเข้าไปทางด้านนี้แล้วออกทางตะวันตก จึงจะนับว่าผ่านด่าน ระหว่างทางที่เจอเสือจะสังหารหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ท่าน ถ้ามีท่านใดระหว่างทางไม่อาจต้านทานได้ สามารถย้อนกลับมาเคาะผนังถ้ำ บ่าวเฝ้าอยู่ที่นี่ ได้ยินแล้วจะโยนบันไดเชือกลงไปช่วยท่านขึ้นมา”
คนฝึกสัตว์ชี้ไปที่ชั้นวางอาวุธ แล้วบอก “นั่นใช้สำหรับป้องกันตัว ทั้งสองท่านเชิญนำไปใช้”
บนชั้นวางมีเพียงท่อนไม้ยาววางอยู่สองท่อน ไม่มีสิ่งอื่น
จากจุดนี้หากคิดจะไปยังทางออกฝั่งตรงข้าม ก็ได้แต่ต้องเดินไปข้างหน้าตามลักษณะพื้นที่ของถ้ำ แต่ถ้ำนี้ก็เหมือนอุโมงค์ที่เจาะลึกเข้าไปกลางภูเขา ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งต่ำเตี้ยและคับแคบลง
ใจกลางส่วนที่แคบที่สุด ความกว้างเพียงพอให้ม้าสองตัวเดินเคียงกันผ่านไปได้เท่านั้น
พื้นที่เดิมก็เคลื่อนไหวได้จำกัดอยู่แล้ว กอปรกับมีเสือร้ายคอยขวางทาง อาวุธป้องกันตัวเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในมือมีเพียงท่อนไม้ยาวท่อนหนึ่งเท่านั้น อานุภาพในการสังหารหรือทำให้ได้รับบาดเจ็บย่อมมีจำกัด
ปากทางด้านตะวันออกและตะวันตก แม้ระยะห่างจะไม่ไกลมาก แต่ระดับความยากลำบากของด่านนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้
ลู่เจี่ยนจือกับหลี่มู่ต่างถือท่อนไม้ยาวคนละท่อน คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวา ค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในถ้ำ
แม้ตามผนังถ้ำจะปักคบไฟส่องสว่างไว้เป็นระยะ แต่พอลงไปถึงจุดที่ลึกแสงสว่างยังคงสลัวเลือนราง แสงไฟส่องสะท้อนร่างคนทั้งสองเกิดเป็นแสงเงาตะคุ่มๆ อยู่บนผนังถ้ำ เดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ฉับพลันนั้นเองก็มีสายลมเย็นหอบหนึ่งพัดพาเอากลิ่นสาบสางจากส่วนลึกของฝั่งตรงข้ามพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า
จากนั้นก็มีเงาดำวูบวาบขึ้น เสือร้ายตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากมุมมืด ขวางทางไปของคนทั้งสองเอาไว้
นี่เป็นเสือตัวผู้โตเต็มวัยที่รูปร่างใหญ่โตตัวหนึ่ง ท่าทางแข็งแกร่งทรงพลังยิ่ง นัยน์ตาเสือเปล่งแสงสีเขียวเป็นประกายวาว ดูน่ากลัวยิ่งนัก
ความโหยหิวทำให้มันเปลี่ยนเป็นงุ่นง่านและฮึกเหิมยิ่ง
มันจับจ้องแขกไม่ได้รับเชิญสองคนที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า แสงสีเขียวในดวงตามันสาดประกายวิบวับ มุมปากมีน้ำลายไหลออกมาตลอดเวลา ทางหนึ่งก็แผดคำรามเสียงต่ำ ทางหนึ่งก็เดินไปเดินมาไม่หยุดคล้ายว่าพบเจอกะทันหันมันจึงมันยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องจะโจมตีคนใดก่อนดี
หนึ่งเสือสองมนุษย์ต่างคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้ครู่หนึ่ง
หลี่มู่ยื่นท่อนไม้ยาวในมือออกไปช้าๆ เคาะไปที่ผนังถ้ำด้านข้าง เกิดเป็นเสียงก๊อกๆ ก้องกังวาน
เสือร้ายถูกดึงดูดความสนใจ หัวไปทางเขา พุ่งกระโจนเข้าไปทันที
หลี่มู่ไม่ขยับ ขณะที่มันกระโจนมาใกล้ถึงเบื้องหน้า เขาก็กลิ้งไปกับพื้นหลบไปได้