ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 13-บทที่ 14
แขนของลู่เจี่ยนจือถูกพลังที่น่ากลัวขุมนี้สั่นสะเทือนจนรู้สึกชาไปทั้งแขนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เลือดลมในช่องอกก็พลุ่งพล่านตามไปด้วย
ยังไม่ทันได้มีท่าทีโต้ตอบใดๆ ก็มีเสียงกรีดลม ท่อนไม้หักที่มีรอยแตกแหลมคมตรงส่วนปลายพลันจ่อมาที่ลำคอของเขาแล้ว
ปลายไม้อยู่ห่างจากลำคอของเขาเพียงระยะครึ่งชุ่น
ใบหน้าของลู่เจี่ยนจือไร้สีเลือดในทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว
ถ้านี่เป็นดาบหรือกระบี่ ต่อสู้กันโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน เวลานี้เขาคงโลหิตฉีดพุ่งสามฉื่อ ไปแล้ว
ทั้งสองมองสบตากันชั่วขณะ
หลี่มู่ดึงท่อนไม้แตกกลับมา โยนลงบนพื้น ถอยหลังไปก้าวหนึ่งบอก “ออมมือแล้ว” แล้วหมุนตัวจากไป
ลู่เจี่ยนจือเอนร่างพิงผนังหินนิ่งไม่ขยับ สายตาจ้องมองหลี่มู่ปีนป่ายผนังหินขึ้นไป เงาร่างประหนึ่งวานรปราดเปรียว ไม่นานก็หายลับไปจากปากถ้ำที่อยู่ด้านบนเหนือศีรษะ
เหตุการณ์ในภูเขาพยัคฆ์เป็นอย่างไร คนที่ด้านนอกไม่อาจมองเห็นได้ ตอนแรกเพียงได้ยินเสียงเสือคำรามดังออกมาจากในถ้ำตลอดเวลา เสียงสั่นสะเทือนไปแทบจะทั้งหุบเขา ทำเอาพวกบุตรหลานตระกูลขุนนางที่กระทั่งม้าก็ยังขี่ไม่ชินเหล่านั้นต่างตื่นตระหนกอกสั่นขวัญแขวน
ในที่สุดเสียงคำรามของเสือก็ค่อยๆ จางหายไป แต่กลับไม่เห็นสองคนนั้นออกมาจากภูเขาพยัคฆ์สักที ทุกคนเริ่มข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
ลู่กวงเห็นชัดว่าออกจะสงบใจไว้ไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ยอมแสดงท่าทีออกมาต่อหน้าสายตาผู้คนที่จับจ้องอยู่มากนัก เพียงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นทุกที
สีหน้าของเกาเฉียวกลับเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมผิดปกติ กระทั่งลุกจากที่นั่งออกมา เดินลงจากแท่นชมทัศนียภาพ เบิกตามองไปทางถ้ำพยัคฆ์ ใบหน้าปรากฏแววร้อนใจ
เวลานี้เองในที่สุดขุนนางผู้ควบคุมการทดสอบก็ลงมาจากด้านบนเขาอย่างรวดเร็ว วิ่งมาถึงแท่นชมทัศนียภาพ
ทุกคนรู้ว่าผลการแข่งขันในด่านที่สามน่าจะออกมาแล้ว ต่างพากันห้อมล้อมเข้ามา
ขุนนางผู้ควบคุมการทดสอบถวายบังคมฮ่องเต้ซิงผิง “ทูลฝ่าบาท ผลแพ้ชนะในด่านที่สามออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขุนพลหลี่ออกจากถ้ำพยัคฆ์มาก่อนคุณชายลู่ กำลังไปที่ยอดเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบดู!”
ทันใดนั้นไม่รู้ใครส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นมา
เกาเฉียวหันหน้าไปทันที มองขึ้นไปบนยอดเขา
เงาร่างสีดำสายหนึ่งยืนต้านลมอยู่ใต้ศาลา น้าวคันธนูยิงลูกธนู
ลูกธนูหลุดจากคันธนู จูอวี๋ที่ยอดศาลาช่อนั้นก็ถูกยิงร่วงหล่นลงมา
“คุณชายลู่เป็นอย่างไรบ้าง” เกาเฉียวรีบถาม
“เรียนเซี่ยงกง คุณชายลู่ปลอดภัยดี ออกจากถ้ำพยัคฆ์แล้วขอรับ” คนผู้นั้นตอบ
เกาเฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ แล้วมองเงาร่างที่กำลังลงมาจากยอดเขาอีกครั้ง ในใจเกิดความรู้สึกหลากหลายยากจะบรรยายออกมาได้
ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว…ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
คนทั้งหมดที่แท่นชมทัศนียภาพ ผู้ที่กระหยิ่มยิ้มย่องที่สุดน่ากลัวว่าต้องเป็นสวี่มี่แล้ว
เขาพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะหัวเราะฮ่าๆ ออกมาดังๆ ชายตาไปมองลู่กวงแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าของลู่กวงเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำอย่างเห็นได้ชัด กลับยังต้องฝืนตีสีหน้ายิ้มแย้มกับเหล่าขุนนางที่พากันเข้ามาปลอบใจ ในใจก็ยิ่งรู้สึกสาแก่ใจ
หลี่มู่เดินตามเส้นทางบนภูเขา จากยอดเขาลงมาที่แท่นชมทัศนียภาพ
ระหว่างทางทุกจุดที่เขาเดินผ่าน ผู้คนสองฟากข้างต่างเปิดทางให้ แววตาของแต่ละคนแตกต่างกันไป
มีคนอิจฉา มีคนริษยา มีคนเลื่อมใสศรัทธา แน่นอนย่อมมีคนเสียดแทงใจ
องค์หญิงใหญ่เซียวหย่งจยาที่นั่งอยู่ด้านหลังกระโจมม่าน ไม่รอให้งานเลิกราก็ลุกพรวดขึ้นมาเร่งรุดจากไปท่ามกลางผู้ติดตาม
ด้านหลังกระโจมม่านอีกหลังหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กับอวี้หลินหวังเฟยจูจี้เยวี่ยปรายตามองเงาด้านหลังของเซียวหย่งจยาแวบหนึ่ง หัวเราะเยาะหยันเสียงต่ำแล้วบอก “หวังเฟยเห็นสีหน้าของนางหรือไม่ ขาวดุจหิมะ ปกติต่อให้ทาแป้งสักสามชั่ง เกรงว่าก็คงไม่น่ามองเท่านี้ ครั้งนี้ต่อให้เอาฐานะขององค์หญิงใหญ่มากดข่มฝ่าบาท เกรงว่าก็คงไม่ต่างอะไรกับน้ำที่สาดออกไปแล้วไม่อาจแก้ไขอะไรได้ คิดไม่ถึงว่านางก็จะมีวันนี้…”
นางพูดเสียงต่ำ เห็นจูจี้เยวี่ยไม่ได้ตอบคำ สองตามองผ่านม่านโปร่งบางตรงหน้าออกไป คล้ายกำลังมองอะไรอยู่ จึงมองตามสายตาอีกฝ่ายไป เห็นหลี่มู่กำลังเดินมาตามเส้นทางบนภูเขาผ่านไปในระยะใกล้
นางจับจ้องเงาด้านหลังที่เหยียดตรงดุจกระบี่ร่างนั้นพลันตระหนักรู้ ปิดปากหัวเราะเบาๆ พูดขึ้นช้าๆ “พบเห็นบุรุษที่งดงามละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสตรีอย่างเรามามากแล้ว หลี่หลางจวินผู้นี้กลับมีท่วงทีแตกต่างจากผู้อื่น ดูท่าทางของเขาสิ คิดว่า ‘เรื่องนั้น’ ก็คงแข็งแกร่งห้าวหาญยิ่ง…” พูดแล้วก็ขยับไปที่ข้างหูจูจี้เยวี่ย กระซิบอะไรบางอย่าง
จูจี้เยวี่ยคล้ายไม่พอใจ หยิกนางไปทีหนึ่ง สตรีผู้นั้นหัวเราะคิกคัก ร่างสั่นไหวดุจกิ่งบุปผา เสียงหัวเราะลอยออกมาตามลม กลับไปดึงดูดหมู่ผีเสื้อภมรบ้าคลั่งที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้นให้พากันสอดสายตามองมา
ท่ามกลางสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่จ้องมองมา หลี่มู่ได้กลับมาถึงหน้าแท่นชมทัศนียภาพที่เป็นจุดเริ่มต้น หลังจากถวายบังคมฮ่องเต้ซิงผิงแล้ว ก็หันไปทางเกาเฉียว มอบช่อจูอวี๋ให้อย่างนอบน้อม แต่ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
ถ้าจะบอกว่าการประลองฝีมือทั้งสามด่านในวันนี้ เกาเฉียวไม่ได้มีใจเอนเอียงแม้แต่น้อย นั่นก็ไม่เป็นความจริง
เดิมด้วยการคาดเดาของเกาเฉียว ด่านแรกหลี่มู่จะต้องล่าช้ากว่าลู่เจี่ยนจือ ถึงด่านที่สองเขาจะสามารถผ่านได้อย่างรวดเร็ว มาถึงด่านที่สาม ด้วยความสามารถด้านการต่อสู้ของเขา ตามเงื่อนไขที่ให้ใช้ท่อนไม้เป็นอาวุธจัดการกับเสือร้ายตัวหนึ่ง ก็ไม่น่าจะถึงกับมีอันตรายมากนัก แต่…ก็ใช่จะผ่านมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ขอเพียงในสามด่านนี้ลู่เจี่ยนจือแสดงความสามารถได้ไม่ต่างจากปกติเกินไป การแข่งขันในวันนี้ ความเป็นไปได้ที่ลู่เจี่ยนจือจะคว้าชัยชนะย่อมมีมากกว่าหลี่มู่มากนัก
ที่เกาเฉียวคิดไม่ถึงก็คือจิตใจอันหยิ่งผยองที่มีอยู่ในตัวลู่เจี่ยนจือหรือบุตรหลานของตระกูลขุนนาง ถึงกับหยามเหยียดที่จะเอาชนะด้วยการผ่านด่านอภิปรายถกปัญหา และเลือกที่จะผ่านด่านสุดท้ายร่วมกับหลี่มู่
เคราะห์ดีที่ลู่เจี่ยนจือไม่ได้รับบาดเจ็บ หาไม่…เขาก็ยากจะบอกปัดความรับผิดชอบกับทางสกุลลู่ได้
ยามนี้ข้างหูเขาเหลือเพียงเสียงลมภูเขาพัดผ่านดังอู้ๆ
เกาเฉียวหลับตาลง แล้วลืมขึ้นมาช้าๆ มองหลี่มู่ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็กล่าวคำพูดที่อาจจะเป็นประโยคที่เอ่ยออกมาได้ยากลำบากที่สุดในชีวิตนี้ของเขาทีละคำๆ “การทดสอบแข่งขันในวันนี้ หลี่มู่เป็นผู้ชนะ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป หลี่มู่ก็คือบุตรเขยของข้าเกาเฉียว!”