บทที่หก
จวนสกุลเกาอยู่ห่างจากไถเฉิงไม่ไกล เข้าประตูเมืองด้านตะวันตก ข้ามถนนอวี้เจียไปก็อยู่ใกล้กับประตูจูเชวี่ยที่อยู่ทางด้านใต้ของวังหลวง
วันนี้เกาเฉียวกลับมาเร็วกว่าปกติ แต่ที่หน้าประตูก็มีรถและเกี้ยวของแขกผู้มาเยือนจอดอยู่หลายคัน
เกาลั่วเสินรอจนแขกกลับไปหมดแล้วจึงเข้ามาในห้องหนังสือ เห็นบิดาเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียวอมดำ ผ้าโพกศีรษะทำมาจากผ้าไหมสีเขียวอมดำ นั่งอยู่หลังโต๊ะ กำลังก้มหน้าถือพู่กัน ไอสองสามครั้งเป็นระยะ
บิดาได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงาม ตอนหนุ่มมีใบหน้างามดุจหยก คิ้วดาบนัยน์ตาหงส์ เมื่ออายุมากขึ้นมาหน่อย ไว้หนวดดำดูสุภาพละมุนละไม ท่วงทีกิริยาสง่างามทำให้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือน
เกาลั่วเสินได้ยินว่าในอดีตมีอยู่ครั้งหนึ่ง บิดาออกไปสังเกตและศึกษาดูสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรที่อำเภอหยางชวี ได้ทราบว่าเนื่องจากปีนั้นผลการเก็บเกี่ยวไม่เพียงพอ หญิงชาวนาจำนวนมากในอำเภอจึงใช้ช่วงเวลาว่างจากการเก็บเกี่ยวทอผ้าเนื้อหยาบสำหรับสวมใส่ในช่วงฤดูร้อนแล้วนำออกมาขาย แต่ถูกพ่อค้าผ้าในเมืองเจตนาฉวยโอกาสกดราคา หญิงชาวนาลังเลทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นบิดาจึงซื้อมาพับหนึ่ง หลังจากกลับมาก็นำไปตัดเป็นเสื้อผ้าตัวกว้าง สวมใส่แล้วนั่งบนรถเทียมวัวที่ไม่มีประทุนปิด วางท่าสง่างาม โอ้อวดไปทั่วเมือง คนเดินถนนต่างเห็นว่างดงาม ต่างชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เหล่าบุรุษไม่ว่าขุนนางหรือสามัญชนพากันเลียนอย่างเขา เพียงไม่กี่วันผ้าเนื้อหยาบที่เดิมไม่มีคนถามถึงก็ไม่มีให้ซื้อหา ราคาพุ่งสูงขึ้น ผ้าเนื้อหยาบของอำเภอหยางชวีก็ขายหมดเกลี้ยงในคราเดียว
อันคำกล่าวที่ว่าบัณฑิตผู้สง่างามไม่ใส่ใจเรื่องปลีกย่อยเล็กน้อย พูดได้ว่ามีปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่ในตัวของเขา
เพียงแต่สองสามปีมานี้บิดาผ่ายผอมลงไม่น้อย จอนผมก็มีผมขาวขึ้นมาประปรายแล้ว แต่ถึงกระนั้น บุคลิกท่วงทียังคงสูงส่งสง่างามไม่ธรรมดา
เกาลั่วเสินเรียก “อาเหยีย” ออกมาคำหนึ่ง แล้วเดินมาถึงข้างกายเกาเฉียว นั่งคุกเข่าลงไปอย่างเรียบร้อย
นับแต่ปีที่แล้วหลังจากบ้านเมืองเกิดเรื่องวุ่นวาย เกาลั่วเสินก็เห็นบิดาเคร่งเครียดใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนัก ยามอยู่ต่อหน้าบิดา นางจึงพยายามวางตัวเป็นผู้ใหญ่
“อาเหยีย มีอะไรให้ลูกช่วยหรือไม่”
เกาเฉียวเป็นราชเลขาธิการ ทั้งดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี ในสถานที่ทำการราชสำนักของไถเฉิงย่อมมีผู้ใต้บังคับบัญชาช่วยจัดการหนังสือราชการ แต่หนึ่งปีมานี้เนื่องจากบ้านเมืองสับสนวุ่นวาย เกิดสงครามขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า การต้องทำงานจนมืดค่ำถึงได้กินอาหารได้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพื่อความสะดวกจึงใช้ห้องหนังสือจวนเป็นสถานที่ทำงาน
ตั้งแต่เล็กเกาลั่วเสินเข้าออกห้องหนังสือของบิดาได้อย่างมีอิสระ ยามมีแขกมาก็จะหลบไป หลังจากคนไปแล้วนางก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนบิดาอยู่ที่นี่เสมอ
เกาเฉียวกล่าวยิ้มๆ “วันนี้ที่อาเหยียนี่ไม่มีเรื่องอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนอาเหยียแล้ว”
“วันนี้ลูกไปหาอาเหนียงมา”
เกาลั่วเสินกล่าวจบก็ลอบสังเกตสีหน้าบิดา เห็นพู่กันที่เขาถืออยู่ในมือด้ามนั้นชะงักไปเล็กน้อย “เหตุใดไม่พักอยู่สักหลายวัน ไฉนไปแล้วก็กลับเข้าเมืองมาเลย”
“อาเหนียงได้ยินว่าท่านป่วยจึงเร่งให้ลูกกลับมา ยังบอกลูกให้เชื่อฟัง ต้องอยู่เป็นเพื่อนอาเหยียให้ดี”
เกาลั่วเสินพูดเรื่อยเปื่อยด้วยสีหน้าจริงจัง
เกาเฉียวไม่พูดอะไร
“อาเหนียงยังให้จวี๋อาหมัวกลับเข้าเมืองมาพร้อมกับลูกโดยเฉพาะ ก็เพื่อให้มาช่วยดูแลสุขภาพอาเหยีย อาเหยียจะได้หายป่วยในเร็ววัน อาหมัวเมื่อครู่จะมาคารวะอาเหยียด้วย แต่เห็นท่านมีแขกจึงไม่สะดวกจะเข้ามา และไปเคี่ยวยาให้อาเหยียก่อนแล้ว ถ้าอาเหยียไม่เชื่อ รออาหมัวมาแล้วก็ถามนางเองเถิด!”
เกาเฉียวยิ้มน้อยๆ “อาการป่วยของอาเหยียไม่เป็นไรแล้ว ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้อาจวี๋อยู่เป็นเพื่อนก็ให้นางกลับไปปรนนิบัติอาเหนียงของเจ้าเถิด”
“อาเหยีย! อาเหนียงให้จวี๋อาหมัวกลับมาดูแลท่านจริงๆ นะเจ้าคะ! อาเหนียงเองก็น่าจะอยากกลับมา อาเหยีย ไว้สักวันท่านก็ไปรับอาเหนียงกลับเข้าเมืองมา…ดีหรือไม่”
เกาลั่วเสินออกจะร้อนใจขึ้นมา สองมือเกาะโต๊ะ หยัดร่างขึ้นมา
เกาเฉียวกระแอมกระไอออกมาคำหนึ่ง
“ได้…ได้…รอให้เรื่องราวในช่วงนี้ผ่านไปแล้วค่อยว่ากัน…”
“อาเหยีย ท่านต้องอย่าลืมนะ! ยิ่งไม่ต้องกลัว! อาเหนียงปากแข็งใจอ่อน ถ้าท่านไม่กล้าไปคนเดียว ลูกจะไปเป็นเพื่อนเอง อาเหนียงไม่กลับมากับท่าน ลูกก็จะร้องไห้ให้นางดู! นางเห็นลูกร้องไห้แล้วก็ใจอ่อนอยู่เสมอ!”
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท่วงทีกิริยาแบบเด็กหญิงตัวน้อยที่นางซุกซ่อนไว้เมื่อครู่ก็ปรากฏออกมาต่อหน้าบิดาอีกครั้ง
เกาเฉียวยิ้มเจื่อน
กับบุตรสาวโทนผู้นี้ เขารักและเอ็นดูนางเข้ากระดูกอย่างแท้จริง เพียงหวังให้นางอยู่ดีมีสุข ไร้ทุกข์ไร้กังวลไปตลอดชีวิต