จดหมายเป็นลายมือของสวี่ซือถู พี่ชายคนโตของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ในจดหมายของสวี่มี่บอก นับแต่ปีที่แล้วที่ตนนำทัพไปปราบกบฏเพื่อราชสำนัก พยายามสุดความสามารถด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี โชคดีที่ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง กองกำลังกบฏของหลินชวนหวังเวลานี้พ่ายแพ้ล่าถอยไปตลอด ถอยไปจนถึงหลูหลิง การปราบปรามให้สงบราบคาบกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า
ในขณะที่สถานการณ์กำลังดีขึ้นมากนี่เองก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ก่อนจะส่งจดหมายมาวันหนึ่ง ทหารกบฏแอบรวมตัวกันลับๆ ยกกองกำลังบุกเข้ามา จู่โจมเขตอันเฉิงที่ถูกกองกำลังของราชสำนักยึดคืนกลับมาได้แล้ว
ตอนนั้นเกาหวนอยู่ในเมืองพอดี เพราะทหารรักษาเมืองมีจำนวนไม่เพียงพอ ทั้งเรื่องเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันจึงเข้าหนุนเนื่องช่วยเหลือไม่ทัน ไม่อาจรักษากำแพงเมืองไว้ได้
ตอนตีฝ่าวงล้อมออกมา เกาหวนโชคไม่ดีถูกทหารกบฏจับตัวเป็นเชลย
หลินชวนหวังรู้ว่าเขาเป็นลูกหลานสกุลเกา และใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ขอแลกกับเมืองอวี้จาง ถ้าไม่ตกลงก็จะสังหารเขาเซ่นสังเวยก่อนออกรบ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กองทัพ
ในจดหมายสวี่มี่ได้หลั่งน้ำตายอมรับผิดและขออภัยต่อเกาเฉียว บอกตนผิดต่อคำฝากฝังของเกาเฉียวในช่วงก่อนหน้านี้ ความจริงถ้าสามารถช่วยเกาหวนกลับมาได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดตนก็ไม่เสียดาย เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสถานการณ์โดยรวม ตนไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการจึงส่งจดหมายด่วนมาขอให้เกาเฉียวช่วยตัดสินใจ
เกาลั่วเสินตื่นตะลึงแน่นิ่ง จดหมายร่วงหลุดจากมือหล่นลงกับพื้น
เกาหวนอายุน้อยกว่าเกาลั่วเสินหนึ่งปี เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอาสามที่ล่วงลับไปแล้วของเกาลั่วเสิน เกาเฉียวคอยช่วยอบรมสั่งสอนโดยเห็นหลานชายผู้นี้เป็นดั่งบุตรของตน เขากับเกาลั่วเสินเติบโตมาด้วยกัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมาก
บุตรหลานตระกูลขุนนางรุ่นหนุ่มสาวในเมืองเจี้ยนคังส่วนใหญ่ทาแป้งทาชาด มือเท้าไม่ขยันขันแข็ง มีไม่น้อยกระทั่งขี่ม้าก็ยังกลัว ยิ่งมีน้อยมากที่สมัครใจไปเป็นทหาร
เกาหวนกลับไม่เหมือนผู้อื่น เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แต่เล็ก ฝันจะสร้างผลงานด้วยการสร้างความดีความชอบทางการทหาร ปีที่แล้วข่าวการศึกทางเหนือส่งมา ตอนเกาอวิ่นท่านอาของเกาลั่วเสินพาเกาอิ้นญาติผู้พี่ชายของนางไปก่วงหลิงเพื่อรวบรวมทหารเตรียมทำศึก เกาหวนก็ขอจะไปด้วย เกาเฉียวอ้างเหตุผลว่าเขาอายุยังน้อย ไม่อนุญาตให้เขาข้ามแม่น้ำ ตอนนั้นใช้อำนาจบีบบังคับรั้งเขาเอาไว้
คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์หลินชวนหวังก่อกบฏขึ้นมาอีก เขาทิ้งจดหมายที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมไว้ก่อนออกเดินทาง ถึงกับไปโดยไม่ลา เขาลงใต้ไปพึ่งพาสวี่มี่ ขอเข้าร่วมกองทัพปราบกบฏ
ตอนนั้นสวี่มี่ส่งจดหมายมาแจ้งเกาเฉียว บอกตนไม่ต้องการรับเกาหวนไว้ แต่เกาหวนยืนกรานไม่กลับเมืองเจี้ยนคัง
เกาเฉียวไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ตอนนั้นจำต้องไหว้วานสวี่มี่ให้ช่วยดูแลเขาสักหน่อย สวี่มี่ก็รับปาก ส่งเขาไปอยู่กองหลังคอยควบคุมขนส่งเสบียงกรัง
ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
เกาลั่วเสินมองบิดา เห็นเขาหัวคิ้วขมวดมุ่นยืนอยู่ที่นั่น เงาร่างดูหนักอึ้ง
หนึ่งปีมานี้เนื่องจากนางได้มาช่วยบิดาจัดการหนังสือราชการในห้องหนังสืออยู่เสมอ นางจึงพอจะรู้ถึงสถานการณ์การศึกที่หลินชวนอยู่บ้าง
หลินชวนหวังวางแผนมาหลายปี พอเริ่มก่อกบฏก็เข้าโจมตียึดครองเมืองอวี้จางด้วยความรวดเร็วปานฟ้าผ่าอุดหูไม่ทัน
เมืองอวี้จางไม่เพียงมีความสำคัญด้านภูมิศาสตร์ แต่ยังเป็นที่ที่แม่น้ำกั้นและแม่น้ำซวีมาบรรจบกัน จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์เฝ้าระวังทางเหนือ ทั้งมีทะเลสาบผ่อหยางที่เป็นแหล่งของปลาและข้าว ประหนึ่งคลังอาหารธรรมชาติแห่งหนึ่ง
เป็นเพราะยึดครองเมืองอวี้จางได้ทำให้ทัพกบฏได้เปรียบ การปราบกบฏในช่วงแรกของราชสำนักจึงไม่ราบรื่นหลายต่อหลายครั้ง หลังการสู้รบดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า นายทหารและเหล่าทหารหาญก็ได้รับบาดเจ็บล้มตายหนัก ในที่สุดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนถึงช่วงชิงเมืองอวี้จางกลับมาจากทัพกบฏได้
“อาเหยีย ท่านต้องช่วยอาตี้นะเจ้าคะ!”
นางพุ่งเข้าไปจับชายแขนเสื้อบิดาไว้แน่น เอ่ยวิงวอนเสียงสั่น
ท่านลุงท่านอาในตระกูลได้ยินข่าวก็พากันเร่งรุดมา
ค่ำคืนนี้แสงไฟในห้องหนังสือของบิดาไม่ได้ดับลงตลอดทั้งคืน
เสียงถกเถียงกันอย่างดุเดือดดังแว่วมาจากข้างในอยู่ตลอดเวลา
เกาลั่วเสินไม่ได้นอนทั้งคืน
ตอนยามโฉ่ว ท้องฟ้ายังมืดอยู่ นางก็มาที่หน้าห้องหนังสือของบิดา
ท่านลุงท่านอาทั้งหลายจากไปหมดแล้ว ในห้องหนังสือว่างเปล่าโหรงเหรงมีเพียงแสงไฟดวงเดียวกับเงาร่างผอมบางของบิดา
เขายืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เงาด้านหลังนิ่งไม่ขยับ ดูหนักอึ้งอย่างที่สุด กระทั่งเกาลั่วเสินเข้ามาใกล้เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
“อาเหยีย…”
เกาลั่วเสินเรียกเขาเสียงสั่น