ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 7-บทที่ 8
บทที่เจ็ด
เมืองตันหยางตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงเจี้ยนคัง ทั้งสองเมืองอยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยหลี่ คูเมืองและกำแพงเมืองแม้จะเล็กแต่ก็มีทุกอย่างครบครัน ในฐานะเมืองที่ทำหน้าที่โอบล้อมพิทักษ์เมืองหลวงเจี้ยนคัง ปกติก็มีกองกำลังทหารตั้งมั่นอยู่ กอปรกับบางครั้งก็มีบุคคลสำคัญจากเมืองเจี้ยนคังไปมาหาสู่ ข่าวสารของผู้คนที่นี่แต่ไรมาจึงรวดเร็วกว่าที่อื่น
ต้นเดือนสี่ของปีนี้วันนี้ประตูเมืองเมืองตันหยางจวิ้นเปิดกว้าง บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองคึกคักยิ่งกว่าตลาดนัด ชาวบ้านพากันมาเบียดเสียดอยู่นอกประตูเมืองสองฟากถนนตั้งแต่เช้า ทางหนึ่งก็ชะเง้อคอมองไปทางใต้ที่อยู่ไกลออกไป ทางหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคักไม่หยุด
หลายวันก่อนมีข่าวมาว่ากบฏหลินชวนหวังที่สร้างความวุ่นวายต่อเนื่องกว่าครึ่งปีในที่สุดก็ถูกปราบสงบราบคาบลงแล้ว การรบครั้งสุดท้ายหลินชวนหวังต้านทานไม่ได้ ถูกกดดันให้ล่าถอยเข้าไปเฝ้ารักษาเมือง หลังจากประตูเมืองถูกโจมตีแตก หลินชวนหวังก็ขี่ม้าหลบหนี ก่อนถูกยิงด้วยลูกศรร่วงจากม้า ทหารที่ไล่ตามไปโอบล้อมเขาไว้และแทงเขาตายในช่วงชุลมุน พวกกบฏที่เหลือถูกสังหารทั้งหมด บริเวณลุ่มแม่น้ำกั้นที่ไม่สงบมากว่าครึ่งปี ในที่สุดก็กลับคืนสู่ความสงบสุขแล้ว
อาณาประชาราษฎร์แถบเจียงหนานในเวลานี้ทุกคนต่างรู้ว่าสถานการณ์ทางเจียงเป่ยตึงเครียด ข้าศึกเข้มแข็งเราอ่อนแอ สงครามอาจปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เมืองตันหยาง ในร้านน้ำชาหอสุราทุกวันจะมีคนว่างงานไม่มีอะไรทำนั่งอยู่ ที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดก็คือชาวเจี๋ยโหดเหี้ยมทารุณอย่างไร ตามคำพูดของคนที่หนีมาจากทางเหนือเมื่อก่อนเล่าว่าชาวเจี๋ยผมแดงมีเขี้ยวยื่นออกมานอกปาก ลักษณะคล้ายผีร้าย สำหรับการกินเนื้อมนุษย์ดิบๆ นั้นยิ่งเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ครั้นพูดมากเข้าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนจะรู้สึกถึงอันตราย แม้แต่เด็กๆ ที่ร้องไห้โยเยตอนกลางคืน พ่อแม่ก็จะยกคนหูมาขู่ขวัญ
เมื่อเอ่ยถึงสกุลเกาที่เวลานี้กำลังรวบรวมทหารเตรียมทำศึกที่ก่วงหลิง เจียงเป่ย ทุกคนต่างยกย่อง เอ่ยถึงหลินชวนหวังที่ฉวยโอกาสในช่วงวุ่นวายก่อกบฏ ทุกคนต่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่ว่าอย่างไรชะตากรรมของบ้านเมืองก็ยากลำบากอยู่แล้ว ถ้าถูกซ้ำเติมเพราะการก่อกบฏของหลินชวนหวังเข้าอีก ราชสำนักคงไม่มีกำลังจะรับมือทางเจียงเป่ย ถึงตอนนั้นเกิดถูกชาวเจี๋ยที่ดุร้ายข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ ที่ประสบภัยพิบัติยังคงเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เป็นเหตุให้หลังจากทราบข่าวทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
วันนี้พระมาตุลาสวี่ซือถูนำกองทัพมาถึงตันหยาง เกาเซี่ยงกงก็เร่งรุดมาจากเมืองเจี้ยนคัง เลี้ยงฉลองและต้อนรับเหล่าทหารหาญที่มีความดีความชอบ
โอกาสเช่นนี้ปกติยากจะได้พบสักครั้ง ประชาชนต่างมารอกันอยู่ที่นี่นานแล้ว นอกจากจะมาชื่นชมอานุภาพของกองทัพแล้วก็อยากมาชมบารมีของท่านอัครเสนาบดีแห่งต้าอวี๋ที่เล่าขานกันด้วยตาของตนเอง
ตอนดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองพลันเกิดความวุ่นวายขึ้นมา ทุกคนพากันชะเง้อคอมองไป เห็นบนหอสูงที่อยู่บนกำแพงเมือง นอกจากทหารชุดเกราะที่ถือง้าวยืนเรียงแถวอยู่ก่อนหน้านั้น เวลานี้มีเงาร่างคนเพิ่มขึ้นมาหลายคน ท่าทางล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก
บุรุษวัยกลางคนท่านหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง ศีรษะสวมหมวกจิ้นเสียน สีดำ ร่างสวมชุดขุนนางผ้าไหมบางเบาสีแดง ใบหน้าสะอาดหมดจดดุจหยก นัยน์ตาหงส์เลิกขึ้นเล็กน้อย แววตาใสกระจ่างดุจเทพ คล้ายกำลังเบิกมองไปข้างหน้า เครางามที่อยู่ปลายคางปอยนั้นปลิวสะบัดไปตามลมเบาๆ ยามเขายืนอยู่ที่นั่นก็ดูลุ่มลึกดุจสายน้ำสูงตระหง่านดุจขุนเขา แม้ไม่โกรธก็น่าครั่นคร้ามหวั่นเกรง
“เกาเซี่ยงกงมาถึงแล้ว!”
บนถนนมีคนส่งเสียงขึ้นมา
หนึ่งบอกต่อสิบ สิบบอกต่อร้อย ไม่นานทุกคนก็รู้กันทั่วว่าบุรุษวัยกลางคนที่ขึ้นไปบนกำแพงเมืองเมื่อครู่ ก็คืออัครเสนาบดีสกุลเกาผู้มีชื่อเสียงทั่วใต้หล้า ไม่ผิดจากคำเล่าลือเลยจริงๆ เขามีท่วงทีโดดเด่นเหนือผู้คน อารมณ์ของปวงชนฮึกเหิมเร่าร้อนขึ้นมาทันที คนเดินถนนพากันไหลทะลักเข้ามา อยากเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย จะได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น
บริเวณด้านล่างประตูเมืองเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาชั่วขณะ
ในเวลานี้เองตรงข้ามกับถนนที่มุ่งไปสู่ประตูเมือง มีคนหลายคนวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องตะโกนขึ้น
“ทัพใหญ่มาถึงแล้ว! ทัพใหญ่มาถึงแล้ว!”
ผู้คนยิ่งตื่นเต้นดีใจ และพากันหันหน้าไป แข่งกันชะเง้อคอมอง ไม่ผิดจากที่คิด ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวก็เห็นที่สุดปลายถนนไกลๆ ค่อยๆ ปรากฏเงาของกองกำลังทหารขึ้น ทิวธงที่อยู่ด้านหน้าโบกสะบัด
เป็นพระมาตุลาสวี่มี่นำนายทหารและทหารหาญที่มีความดีความชอบในการปราบกบฏเดินทัพมาถึงแล้ว
ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้อง เกาเฉียวมีสีหน้าปีติยินดี รีบลงจากกำแพงเมือง ทิ้งม้าเดินเท้าออกไปนอกประตูเมือง ตรงไปยังถนนที่ทัพใหญ่ขบวนนั้นกำลังมุ่งหน้ามา สาวเท้าเร็วๆ เข้าไปต้อนรับ
ที่นำหน้ามาอยู่กลางขบวนเป็นม้าสีเหลืองแซมด้วยจุดสีขาวตัวหนึ่ง คนที่ขี่อยู่บนหลังเป็นบุรุษเคราเหลืองสวมเสื้อเกราะหมวกเหล็กครบครัน ข้างกายสองด้านมีเสนาธิการ รองแม่ทัพ อาวุธพร้อมพรัก พลานุภาพน่าเกรงขามติดตามอยู่ ตลอดทางที่ผ่านมาเห็นผู้คนแห่แหนต้อนรับอยู่สองฟากถนน ในดวงตาเขาก็มีประกายภาคภูมิใจผุดขึ้นจางๆ
เขาเห็นแต่ไกลแล้วว่าเกาเฉียวนำเหล่าขุนนางจากเมืองเจี้ยนคังเดินเท้าออกมาต้อนรับ แต่จงใจผ่อนฝีเท้าม้าลง รอจนระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเหลือเพียงไม่กี่จั้ง จึงกระตุ้นม้าเข้าไป มาถึงเบื้องหน้าเกาเฉียวก็พลิกตัวลงจากหลังม้า ตั้งท่าจะคุกเข่าลงคารวะเกาเฉียว “จิ่งเซิน ฝากฝังหลานชายไว้กับข้า แต่ข้ากลับทำให้ผิดหวัง หลานชายเกือบต้องจบชีวิตลงแล้ว! นี่ล้วนเป็นความผิดพลาดของข้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลานชาย ข้าแม้ตายหมื่นครั้งก็ยากจะปฏิเสธความผิดได้!”
เกาเฉียวจะให้คนผู้นี้คารวะตนได้อย่างไร เขารีบเดินเข้าไปดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะ
“พี่สวี่ เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น เป็นตายแล้วแต่โชคชะตา ไม่ใช่กำลังความสามารถของมนุษย์จะควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ระหว่างการทำศึกสงคราม ต้องตำหนิข้าที่ไม่เคยใคร่ครวญแทนพี่สวี่ให้รอบคอบ ขณะที่พี่สวี่กำลังทุ่มเทกำลังและความคิดเพื่อปราบกบฏ ยังต้องแบ่งเวลามาสนใจหลานชายที่โง่เขลาผู้นั้นของข้าด้วย ยิ่งทำให้พี่สวี่ต้องตกอยู่ในภาวะยากจะตัดสินใจ! เป็นข้าที่ควรละอายใจจึงจะถูก!”
บุรุษเคราเหลืองผู้นั้นก็คือสวี่มี่ ผู้ถือกำเนิดในสกุลสวี่หนึ่งในสามตระกูลใหญ่เก่าแก่ของรัชสมัยปัจจุบัน เป็นพี่ชายคนโตของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“จิ่งเซินไม่ตำหนิ ถือเป็นโชคดีของข้า!”
สวี่มี่จับมือเกาเฉียวอย่างสนิทสนมและเผยท่าทีที่อบอุ่นใจยิ่ง