ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 9-บทที่ 10
สีหน้าของเซียวหย่งจยาไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย นางตัดบทบุตรสาวแล้วลุกขึ้นมาจากตั่ง เหยียบลงไปบนพรมขนนุ่มงามหรูที่แทบจะปิดคลุมหลังเท้า ลงจากตั่งที่นั่งหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก
แขนเสื้อกับชายกระโปรงที่ปักลายลูกไม้สีทองตรงชายขอบอย่างประณีตงดงามยาวระพื้น สาดประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ไปตามจังหวะการเดินของนาง
เกาลั่วเสินมองเงาด้านหลังของมารดาอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพเหตุการณ์ช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากตนล้มป่วยมารดาก็กลับมาดูแลตน
ตามที่เกาลั่วเสินแอบสังเกต ช่วงเวลานั้นมารดาดูเหมือนจะไม่อนุญาตให้บิดาอยู่ร่วมห้องเดียวกับนาง บิดาถูกบีบให้ต้องนอนในห้องหนังสือทุกคืน หญิงรับใช้สูงวัยในห้องด้านในต่างเห็นกันถ้วนทั่ว แต่ล้วนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ลำบากไม่น้อย ในที่สุดเกาลั่วเสินก็เฝ้ารอจนมารดากลับมาแล้ว ยังเข้าใจว่าบิดามารดาจะได้อยู่ร่วมห้องเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าทั้งสองกลับอยู่ร่วมกันในสภาพเช่นนี้ ไม่หลบเลี่ยงสายตาของบ่าวไพร่ในเรือนแม้แต่น้อย
เกาลั่วเสินโกรธในความไร้เยื่อใยของมารดา สงสารในความขี้ขลาดและอ่อนแอของบิดา มาบัดนี้เห็นมารดาไม่ยินดีจะกลับจวน แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อน นางก็นึกลังเลขึ้นมา
ครั้งนี้ถ้าขอร้องมารดาให้กลับไป แล้วต้องอยู่ร่วมกับบิดาเช่นครั้งก่อนอีก ถ้าพูดจากสถานะของบิดาแล้ว นางก็ออกจะรู้สึกสงสารไม่น้อย
ในเวลานี้เองอาจวี๋ก็พูดขึ้นมา “องค์หญิงใหญ่ เรื่องการแต่งงานของแม่นางน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้มีเหตุให้ต้องล่าช้า คงกำหนดเรียบร้อยไปแล้ว มาบัดนี้เรื่องของบ้านเมืองสงบลง เมื่อเซี่ยงกงกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว คิดว่าสกุลลู่จะต้องมาสู่ขอแม่นางน้อยแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรการแต่งงานของบุตรสาวบุตรชายก็เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง ระหว่างที่สองบ้านไปมาติดต่อกันอยู่ ยังต้องให้องค์หญิงใหญ่ออกหน้าจัดการเรื่องพิธีและประเพณีต่างๆ มากมาย เวลานี้องค์หญิงใหญ่ไม่กลับไปเกรงว่าจะไม่เหมาะนะเจ้าคะ”
เซียวหย่งจยาหยุดฝีเท้า หันหน้ามามองเกาลั่วเสินแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
เกาลั่วเสินได้ยินอาจวี๋เอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของตนกับลู่เจี่ยนจือก็รู้สึกขวยเขินขึ้นมา ก้มหน้าไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินมารดาเอ่ยขึ้น
“เอาเถิด กลับไปด้วยกันก็แล้วกัน” เซียวหย่งจยานิ่งไปชั่วขณะ นางก็เอ่ยขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง น้ำเสียงเจือการเน้นย้ำอย่างเข้มข้น ก็ไม่รู้ตั้งใจจะพูดให้ใครฟัง “ถ้าไม่ใช่เพื่อบุตรสาวล่ะก็ ข้าก็จะไม่กลับไปอยู่ต่อหน้าคนผู้นั้นอีก!”
อาจวี๋เผยรอยยิ้มออกมา “แน่นอนเจ้าค่ะ การแต่งงานของบุตรสาวทั้งคน องค์หญิงใหญ่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กลับไป”
นางคล้อยตาม แล้วร้องเรียกคนมาเก็บสัมภาระเดินทางให้นายหญิง บ่าวไพร่ยุ่งวุ่นวายขึ้นมาทันที
เกาลั่วเสินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดินเข้าไปจับมือเซียวหย่งจยา พูดเบาๆ “ลูกขอบคุณอาเหนียง!”
นิ้วมือขาวดุจหิมะนิ้วหนึ่งของเซียวหย่งจยาจิ้มไปที่หน้าผากเกาลั่วเสินเบาๆ “เจ้าน่ะ อาเหนียงยังจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนเจ้าเพิ่งคลอดออกมา ตัวเล็กนิดเดียว ตอนนั้นอาเหนียงยังคิดอยู่เลย เมื่อใดบุตรสาวของข้าจึงจะโต โตแล้วจะต้องเป็นเด็กหญิงที่งดงามที่สุดเป็นแน่ มาบัดนี้เพียงชั่วพริบตาเดียว เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อาเหนียงแก่แล้ว เจ้าก็จะแต่งงาน…”
นางพูดไปคล้ายรู้สึกใจหายจึงหยุดลง
“อาเหนียงยังไม่แก่สักหน่อย!”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เกาลั่วเสินพลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา นางจับมืออีกข้างของมารดาที่สวมแหวนเพชรพลอยล้ำค่าเต็มมือไว้แน่น
เซียวหย่งจยาส่ายหน้า ยิ้มแก้เขินให้ตนเอง “ช่างเถิด พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไปเพื่ออันใดกัน ดีที่เป็นเจี่ยนจือเด็กคนนี้ อาเหนียงก็วางใจ ไปเถิด”
นางจับจูงมือบุตรสาวแล้วเดินออกจากศาลาริมน้ำ
เกาลั่วเสินติดตามเซียวหย่งจยา พร้อมหญิงรับใช้สูงวัยกับสาวใช้หลายสิบคนกลับเข้าเมือง นั่งเรือสำราญที่ตกแต่งอย่างวิจิตรมาขึ้นฝั่ง
เกาชีที่ติดตามเกาหวนมารับนายหญิงได้จัดเตรียมรถเทียมวัวสำหรับเข้าเมืองไว้ก่อนแล้ว หนึ่งแถวเจ็ด แปดคัน ด้านข้างของรถเทียมวัวทุกคันมีบ่าวไพร่ติดตามอย่างน้อยสี่คน โดยเฉพาะคันหน้าสุดที่เกาลั่วเสินนั่งกับมารดาคันนั้น ตัวรถทำมาจากไม้หอม ม่านรถปักด้วยเส้นไหมเงินเส้นไหมทอง รูปแบบไม่ธรรมดา
หญิงรับใช้สูงวัยกับสาวใช้หลายสิบคนที่ปรนนิบัติเซียวหย่งจยาแยกย้ายกันไปนั่งรถเทียมวัว หัวแถวท้ายแถวต่อกันเป็นขบวน เดินทางผ่านถนนนอกเมือง ภายใต้การคุ้มกันของบ่าวไพร่สกุลเกา ตลอดทางดึงดูดสายตาผู้คนบนท้องถนนไม่รู้มากมายเพียงใด เด็กๆ ในชนบทสิบกว่าคนได้ยินเสียงก็วิ่งมาชมดูด้วยความสนุกสนาน ตามติดอยู่ท้ายขบวนไม่ยอมห่าง
สกุลเกาเดิมก็ร่ำรวยมีชื่อเสียงบารมี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการศึกที่ทำกับแคว้นซย่าในครั้งนี้ นับว่ามีความดีความชอบใหญ่หลวง ชาวนาที่กำลังดายหญ้าอยู่สองข้างทางเหล่านั้น พอรู้ว่าเป็นขบวนรถขององค์หญิงใหญ่ที่กลับเข้าเมืองเพื่อต้อนรับการกลับมาของเซี่ยงกง รอจนรถเทียมวัวผ่านไปแล้ว ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงต่ำขึ้นมา
“ได้ยินว่าเซี่ยงกงกลัวภรรยา อายุเกือบครึ่งร้อยกลับมีบุตรสาวเพียงคนเดียว จนทุกวันนี้ก็ไม่กล้ารับอนุ”
“เซี่ยงกงมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อใต้หล้า ถ้าสวรรค์มีตาจะปล่อยให้เขาไม่มีผู้สืบทอดวงศ์สกุลได้อย่างไร”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์แม้จะเบา แต่ยังคงลอยตามสายลมแว่วมาเข้าหูเกาลั่วเสิน
เกาลั่วเสินออกจะไม่สบายใจ รีบหันไปมองมารดาที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เห็นนางหลับตาทั้งสองข้าง สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ร่างโยกไปมาเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของรถเทียมวัว คล้ายงีบระหว่างทางจนหลับไปแล้วเช่นนั้น
เกาชีขี่ม้าอยู่ด้านข้างก็ได้ยินอยู่บ้าง เขาย่นหัวคิ้ว หยุดม้าลงทันที สั่งการบ่าวไพร่เบาๆ ให้ไปไล่ชาวบ้านปากมากเหล่านั้น
“ช่างเถิด ใต้หล้าปากคนมากมาย เจ้าจะปิดปากได้สักกี่คนเชียว”
สองตาของเซียวหย่งจยายังคงหลับอยู่ เพียงจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เกาชีได้ยินนายหญิงเอ่ยปากเช่นนี้ จึงจำต้องเดินทางต่อไป
ขบวนรถแถวหนึ่งแล่นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ในที่สุดก็เข้าเมืองหลวงแล้ว มุ่งตรงไปจวนสกุลเกาที่อยู่ใกล้ถนนอวี้
คนบ้านใกล้เรือนเคียงในเมืองและคนเดินถนนสองฟากข้างเมื่อเห็นขบวนรถเทียมวัวของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของผู้เรืองอำนาจวิ่งมายาวเหยียด ต่างจำได้ว่ามาจากจวนสกุลเกาก็ยิ่งหยุดเท้ามองดู