ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 9-บทที่ 10
การปูนบำเหน็จกองทัพสิ้นสุดลงด้วยความราบรื่น
ฮ่องเต้เสด็จกลับวังหลวงก่อน ท่ามกลางเสียงน้อมส่งเสด็จของทหารนับหมื่นนายที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังอย่างกึกก้องพร้อมเพรียงกัน
ไม่ต้องสงสัยเลย เกาเฉียวกับคนในสกุลเกาที่อยู่ด้านหลังของเขาคือตระกูลที่มีหน้ามีตาที่สุดในวันนี้
ตระกูลขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวงอยู่ในลำดับรองลงมา และตระกูลขุนนางท้องถิ่นในเขตสามอู๋ ไม่มีใครไม่รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พูดคุยกับเกาเฉียวสักสองสามคำ
ส่วนอาณาประชาราษฎร์ยิ่งตื่นเต้นดีใจ เมื่องานพิธีเสร็จสิ้นลงก็โอ้เอ้ไม่ยอมแยกย้ายกันไป ที่พวกเขาพูดถึงกันมากที่สุดกลับเป็นชื่อของอีกคนหนึ่ง
เป็นเพราะพิธีปูนบำเหน็จกองทัพในวันนี้ ชื่อนี้จึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหนแห่งอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยิน
ชื่อนี้…ก็คือหลี่มู่
กล่าวกันว่าเขาเป็นคนบุกเดี่ยวเข้าไปในขบวนทัพของหลินชวนหวัง ช่วยบุตรหลานสกุลเกาผู้หนึ่งซึ่งถูกจับเป็นเชลยออกมา ท่ามกลางวงล้อมเป็นชั้นๆ ของทหารข้าศึกนับพันนับหมื่นนาย
กล่าวกันว่าเขาเป็นคนทำให้แผนบุกเข้าโจมตีเมืองอี้หยางของทัพซย่าต้องล้มเหลว เขานำทหารเพียงสองพันนายป้องกันเมือง ต่อสู้นองเลือดที่ด่านเจียงกวน ยืนหยัดสกัดกั้นการโจมตีของกองทัพศัตรูนับหมื่น กระทั่งทัพหนุนมาถึง
และก็เป็นเขาอีกเช่นกันที่เป็นกองหน้ากล้าตายในการทำศึกใหญ่ของเจียงเป่ย เขาพาผู้ใต้บังคับบัญชาออกรบห้าครั้งชนะห้าครั้ง บุกไปทางใดก็แหลกราบไปทางนั้น สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่
วันนี้หลังจากฮ่องเต้ซิงผิงให้ขุนนางในวงศ์สกุลสูงศักดิ์ที่มีความดีความชอบอันมีสกุลเกาเป็นผู้นำและสกุลลู่ สกุลสวี่ที่ได้เข้าร่วมในการทำศึกเข้าเฝ้าแล้วก็ยังเรียกตัวหลี่มู่ออกมาจากแถวโดยเฉพาะ แต่งตั้งเขาเป็นขุนพลจงหลางหู่เปิน ทั้งพระราชทานเสื้อคลุมลายสัตว์สีทองให้เป็นกรณีพิเศษ แสดงความชื่นชมเขาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
กระทั่งฮ่องเต้ยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราษฎรแล้ว
ถ้าชายหนุ่มที่ชื่อหลี่มู่ผู้นี้ถือกำเนิดในตระกูลขุนนาง ชาวบ้านก็คงทำเช่นที่พวกเขาเคยชิน เพียงแหงนหน้ามองเขาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเท่านั้น
แต่เพราะเขาถือกำเนิดในครอบครัวต่ำต้อย ที่ต้าอวี๋ตัดสินทุกอย่างตามฐานะของตระกูล ชนชั้นสูงไม่มีครอบครัวต่ำต้อย ชนชั้นต่ำไม่มีวงศ์สกุลขุนนางแห่งนี้ เป็นแบบฉบับของคนที่เริ่มไต่เต้าจากชั้นต่ำสุดขึ้นมาทีละก้าวๆ จนถึงตำแหน่งที่มีเกียรติยศในวันนี้ คนธรรมดาทั่วไปคล้ายมองเห็นความหวังของตนและลูกหลานชนรุ่นหลังได้จากตัวของเขา ด้วยเหตุนี้จึงได้เลือดร้อนระอุพลุ่งพล่าน กระทั่งเลื่อมใสศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง
ข้างกายหลี่มู่ยามนี้มีทหารหาญมารวมตัวกันนอกสามชั้นในสามชั้น รอบด้านแออัดเบียดเสียดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังไม่ขาดหู
ตอนหยางเซวียนมาถึง ภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนี้ จึงไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะ เพียงอมยิ้มยืนอยู่ด้านข้าง
ครู่เดียวหลี่มู่ก็เห็นหยางเซวียน เขาจึงแหวกกลุ่มคนออกมา สาวเท้าเร็วๆ มาหาอีกฝ่าย ทำการคารวะ
หยางเซวียนรีบเข้ามาประคอง ยิ้มบอก “เวลานี้เจ้าเองก็เป็นขุนพล ทั้งได้รับเสื้อคลุมลายสัตว์สีทองจากพระหัตถ์ เกียรติยศสูงส่งไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าจะเทียบเคียงได้ ต่อไปเจอข้าแล้วไม่ต้องมากมารยาทอีก”
เสื้อคลุมที่ฮ่องเต้แห่งต้าอวี๋พระราชทานให้ขุนนางแบ่งเป็นสองแบบ ขุนนางฝ่ายพลเรือนจะเป็นเสื้อคลุมลายนกกระเรียน ขุนพลทหารเป็นเสื้อคลุมลายสัตว์ อย่างแรกเป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข อย่างหลังแฝงความหมายถึงพลังอำนาจ
ก่อนราชสำนักจะอพยพลงใต้ กล่าวสำหรับขุนนางการที่สามารถได้รับพระราชทานเสื้อคลุมตัวหนึ่ง มักจะถูกมองว่าเป็นเกียรติยศอย่างสูงสุด ทว่าหลังจากอพยพลงใต้มา อำนาจของฮ่องเต้ได้ตกต่ำลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ เดิมก็ต้องอาศัยการประคับประคองของตระกูลขุนนางอยู่แล้ว ตระกูลขุนนางชั้นสูงแทบจะทัดเทียมกับราชวงศ์ได้ ไม่ช้าไม่นานเกียรติยศเช่นนี้ กล่าวสำหรับตระกูลขุนนางแล้วอาจเป็นเพียงการเติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร เท่านั้น แต่กล่าวสำหรับคนที่มาจากครอบครัวต่ำต้อยแล้ว การได้รับพระราชทานเสื้อคลุมตัวหนึ่งยังคงเป็นเรื่องที่ใฝ่ฝันถึงแม้ในยามหลับฝัน
หลี่มู่กล่าว “ที่ข้าโชคดีมีวันนี้ได้ เป็นเพราะได้ท่านขุนพลช่วยสนับสนุนส่งเสริมมาโดยตลอด ท่านขุนพลสมควรรับการคารวะจากข้า”
หยางเซวียนเห็นหลี่มู่ไม่มีท่าทีหยิ่งผยองอวดดีเพราะเกียรติยศที่ได้รับในวันนี้แม้แต่น้อย ยังคงปฏิบัติต่อตนอย่างมีมารยาท ในใจก็รู้สึกสบายใจ กล่าวยิ้มๆ “ครั้งนี้ซือถูก็ชมเชยเจ้าอย่างมาก เอ่ยถึงต่อหน้าข้าหลายครั้ง ครั้งนี้ถ้าฝ่าบาทไม่ทรงปูนบำเหน็จแต่งตั้ง ซือถูก็ไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมหรอก มีซือถูกับเกาเซี่ยงกงคอยสนับสนุน อนาคตของเจ้าย่อมยาวไกลหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เวลานี้พวกเขาสองคนก็อยู่ในกระโจม เจ้ามากับข้าก่อน คารวะขอบคุณเสร็จ คืนนี้เราไม่เมาไม่เลิกรา!”
หลี่มู่ไม่ได้สาวเท้า เพียงมองไปทางกระโจมใหญ่หลังนั้นที่อยู่ห่างออกไปซึ่งมีพวกสวี่มี่กับเกาเฉียวอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็บอก “ขุนพลหยาง ท่านยังจำได้หรือไม่ เมื่อก่อนเกาเซี่ยงกงเคยรับปากข้าไว้ ไม่ว่าข้าจะร้องขอสิ่งใดก็จะรับปากข้าทุกอย่าง”
หยางเซวียนหัวเราะฮ่าๆ “แน่นอน! ตอนนั้นเกาเซี่ยงกงตกปากรับคำอย่างหนักแน่นมั่นเหมาะ ไม่ใช่ข้าหยางเซวียนได้ยินเพียงคนเดียว ยังมีคนมากมายที่ได้ยินด้วย!”
เขาพูดจบก็มองประเมินหลี่มู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วว่า “อย่างไรกัน หรือเจ้าคิดเรื่องที่จะร้องขอแล้ว ประจวบเหมาะพอดี เกาเซี่ยงกงก็อยู่ด้วย เจ้าฉวยโอกาสนี้เอ่ยปากก็แล้วกัน ข้าคาดเดาว่าไม่ว่าเจ้าจะร้องขอเรื่องอะไร เกาเซี่ยงกงก็ต้องรับปากเจ้าแน่นอน”
หลี่มู่บอก “เรื่องนี้เกรงว่าข้าคงต้องพึ่งพาท่านขุนพลแล้ว”
“เรื่องอันใดถึงกับยังต้องให้ข้าช่วยเจ้า” หยางเซวียนออกจะประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะ “เจ้าบอกมาเถิด! ขอเพียงข้าช่วยได้ ย่อมต้องรับปากแน่นอน”
เขาตบอกด้วยท่าทางวีรอาจหาญยิ่ง
“ขอบคุณขุนพลหยาง” หลี่มู่ยิ้ม “สิ่งที่ข้าต้องการจะร้องขอคือบุตรีของเกาเซี่ยงกง ไม่ทราบขุนพลหยางยินดีจะช่วยข้าหรือไม่”
ก่อนหน้านี้สีหน้าของหยางเซวียนเจือรอยยิ้มมาโดยตลอด ฉับพลันนั้นรอยยิ้มเขาก็ชะงักค้าง ลังเลอยู่ชั่วขณะ เขามองหลี่มู่ น้ำเสียงเจือความไม่แน่ใจ “จิ้งเฉิน เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ บุตรีของเกาเซี่ยงกง?”
หยางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วใช้น้ำเสียงเน้นย้ำพูดซ้ำอีกครั้ง
“บุตรสาวของเกาเซี่ยงกง เจ้าอยากแต่งนางเป็นภรรยา?”
“ใช่ สิ่งที่ข้าต้องการคืออยากแต่งงานกับบุตรสาวของเกาเซี่ยงกง”