ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 9-บทที่ 10
บทที่สิบ
หลี่มู่ตอบรับ
“เจ้า…เหตุใดเจ้าจึงมีความคิดเช่นนี้ หรือกำลังล้อข้าเล่น!” หยางเซวียนลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความฉงนใจ
“ข้าต้องการแต่งงานกับบุตรสาวของเกาเซี่ยงกง” หลี่มู่เพียงพูดซ้ำอีกครั้ง “ถ้าท่านขุนพลช่วยบอกสิ่งที่ข้าร้องขอต่อหน้าเกาเซี่ยงกงแทนข้า หลี่มู่จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง!”
หยางเซวียนจ้องมองหลี่มู่ที่สีหน้าเป็นปกติ สองตายิ่งจ้องยิ่งเบิกกว้าง แม้แต่หนวดเคราที่มีอยู่เต็มหน้า ยังไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกสุดขีดของเขาในยามนี้ได้
ฉับพลันนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน กวาดตามองไปรอบด้านแล้วบอก “เจ้าตามข้ามา!”
เขาหมุนตัวรีบเร่งเดินเข้าไปในกระโจมที่พักของตน
รอหลี่มู่เดินตามเข้ามา หยางเซวียนก็เรียกทหารคนสนิทสองนาย สั่งให้เฝ้าอยู่หน้ากระโจมห่างๆ ห้ามให้ใครเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงหมุนตัวมา
“จิ้งเฉิน หรือว่าเจ้าเลอะเลือนไปแล้ว เหตุใดเจ้าจึงเกิดความคิดเหลวไหลเช่นนี้ขึ้นมาได้ เกาเซี่ยงกงเป็นใคร พวกเราเป็นใคร เจ้าเองก็รู้ดี เวลานี้ตระกูลขุนนางมีอำนาจ ด้วยเกียรติภูมิบารมีของสกุลเกา ต่อให้เกาเซี่ยงกงซาบซึ้งใจที่เจ้าช่วยชีวิตหลานชายของเขาเพียงใด ก็ไม่มีทางยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเจ้าแน่ เจ้าฟังคำเตือนของข้า ยังคงล้มเลิกความคิดนี้เสียแต่เนิ่นๆ เถิด อย่าทำให้เกาเซี่ยงกงรู้สึกเลวร้ายต่อเรื่องนี้ หาเรื่องให้ตนเองต้องถูกเหยียดหยาม!”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม น้ำเสียงยิ่งจริงจังผิดจากปกติ
หลี่มู่กลับสีหน้าไม่หวั่นไหว ยังคงยิ้มน้อยๆ บอก “ขอบคุณท่านขุนพลที่ตักเตือน เพียงแต่การแต่งงานกับบุตรีของเกาเซี่ยงกงคือความปรารถนาเดียวในชีวิตของข้าหลี่มู่ ในเมื่อวันนั้นเกาเซี่ยงกงรับปากให้ข้าร้องขอในสิ่งที่ข้าต้องการได้ มาบัดนี้ถึงจะเป็นการไม่ประมาณตน ข้าก็ต้องลองดูสักครั้ง”
หยางเซวียนสั่นศีรษะไม่หยุด “จิ้งเฉิน ในวัยสวมหมวก เจ้าก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลจงหลางหู่เปินแล้ว ทอดสายตามองไปทั้งราชสำนักมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงเจ้าได้ ด้วยความสามารถของเจ้า อนาคตข้างหน้า ต้องยาวไกลกว่าข้าแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้แม้แต่ฝ่าบาทยังให้ความสำคัญต่อเจ้าเพียงนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องใจร้อนเช่นนี้ก็ได้! วันนั้นที่เกาเซี่ยงกงรับปากเจ้าต่อหน้าธารกำนัลก็เป็นเพียงคำพูดที่พูดไปโดยไม่ทันคิดในขณะนั้นเท่านั้น เรื่องอื่นยังพอพูดง่าย เรื่องนี้…เขาไม่มีทางรับปากแน่นอน เหตุใดเจ้ากลับเห็นเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังเล่า!”
หลี่มู่บอก “ความมุ่งมาดปรารถนาที่ต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเกาเซี่ยงกงของข้าเกิดขึ้นมานานแล้ว ในเมื่อมีโอกาสถ้าไม่ลองดูจะยอมล้มเลิกได้อย่างไร หากท่านขุนพลเห็นว่าลำบาก ข้าก็ไม่กล้าฝืนใจ ข้าขอตัวก่อน”
เขาคารวะแสดงการขอบคุณหยางเซวียน จากนั้นก็หมุนตัวจะเดินจากไป
ในเมื่อไม่อาจทำให้นายทหารที่ตนรักยอมล้มเลิกความคิดเหลวไหลนี้ไปได้ หยางเซวียนจะปล่อยให้หลี่มู่จากไปได้อย่างไร เขารีบก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ขวางหน้าหลี่มู่ไว้
“จิ้งเฉิน! หญิงสาวที่อ่อนหวานแช่มช้อยอ่อนโยนดีงาม ถือเป็นคู่ครองที่ดีของบุรุษ เรื่องนี้ข้าเข้าใจ! เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าสกุลเกากับสกุลลู่แต่ไรมาจะเกี่ยวดองกันด้วยการแต่งงาน ทั้งสองครอบครัวมีประสงค์จะให้บุตรหลานแต่งงานกันมานานแล้ว เวลานี้คิดว่าคงจะปรึกษาหารือเรื่องการแต่งงานเป็นที่เรียบร้อย ในเวลาเช่นนี้สกุลเกาจะทิ้งสกุลลู่ให้บุตรสาวมาแต่งกับเจ้าได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเองก็คงรู้ ขุนนางกับสามัญชนแบ่งแยกกันอย่างเด็ดขาด ห่างไกลเกินกว่าเจ้าจะจินตนาการได้ คนที่มองตนว่าสูงส่งเหล่านั้น แม้แต่นั่งด้วยกันก็ยังไม่ยินดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานกันเลย ถึงบางครั้งจะมีขุนนางกับสามัญชนธรรมดาทั่วไปแต่งงานกัน ญาติมิตรของตระกูลขุนนางผู้นั้นก็จะเห็นเป็นเรื่องน่าอับอาย ตั้งแต่นั้นก็จะไม่ยอมไปมาหาสู่ด้วยอีก ด้วยความสูงศักดิ์ของสกุลเกาจะยอมลดฐานะตนเองลงได้อย่างไร”
หยางเซวียนโน้มน้าวนายทหารหนุ่มที่ตนรักใคร่เอ็นดู แต่กลายเป็นไปปลุกเร้าความคับแค้นใจที่สั่งสมอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของตนเองขึ้นมาเสียได้ จึงกล่าวด้วยความแค้นใจ “บรรพบุรุษของพวกเราสร้างคุณูปการมากมาย มีอะไรที่เทียบพวกเขาไม่ได้ เวลานี้บุตรหลานตระกูลขุนนางส่วนใหญ่เป็นพวกที่ไร้ความสามารถ บรรพบุรุษของพวกเขากลับอาศัยความยากลำบากของราชสำนักในการอพยพข้ามแม่น้ำลงใต้รวบเอาความดีความชอบเป็นของตน อาศัยความสูงศักดิ์ของตระกูลวางตนอยู่เหนือศีรษะพวกเรา เห็นคนเป็นดั่งตุ่นมดม้าวัว แล้วแต่จะเรียกใช้ ไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตา”
เขากัดฟัน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง รออารมณ์ที่พลุ่งพล่านสงบลงแล้วก็กล่าวด้วยคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งเปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริง “จิ้งเฉิน เจ้าฟังข้าสักคำ อย่าเห็นคำพูดในวันนั้นของเกาเซี่ยงกงเป็นเรื่องจริงจัง! ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย ดีกว่าขอแต่งงานไม่สำเร็จแล้วยังต้องถูกคนสบประมาทเหยียดหยาม!”
ตอนหยางเซวียนพูดเกลี้ยกล่อม หลี่มู่ก็ฟังอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด รอเขาพูดจบ จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “คำพูดที่ดีงามของท่านขุนพล ทุกคำล้วนมาจากความรักและหวังดี หลี่มู่ซาบซึ้งใจยิ่ง จะไม่ลืมเลือนตลอดชีวิต เพียงแต่ท่านขุนพลก็รู้ ข้าเป็นคนตื้นเขินโง่เขลา เมื่อมีความคิดที่มุ่งมั่นอยู่ในใจแล้ว ถ้าไม่ลองดูสักครั้งก็จะไม่ยินยอม ขอบคุณท่านขุนพลมาก หลี่มู่ขอลา!”
หยางเซวียนรู้ว่าหลี่มู่ยังไม่ล้มเลิกความคิดนี้ก็อับจนปัญญา เขาถอนหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งก่อนพูดว่า “เอาเถอะๆ ในเมื่อเจ้าขอร้องข้าเช่นนี้แล้ว ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างไร เพียงแต่เจ้าต้องรู้ไว้อย่าง เกาเซี่ยงกงอาจไม่ถือสาที่เจ้าล่วงเกิน ทั้งยินดีที่จะช่วยเจ้าปกปิดเป็นความลับ แต่โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมลอดผ่านไม่ได้ เจ้าขอแต่งงานแล้วถูกปฏิเสธก็ช่างเถิด แต่วันหน้าย่อมยากหลีกเลี่ยงที่จะถูกผู้คนล่วงรู้และถูกหัวเราะเยาะ ยิ่งไปกว่านั้นทางซือถู เกรงว่าอาจจะระแวงสงสัยว่าเจ้าคิดจะแอบอิงเกาเซี่ยงกง อาจจะไม่ชอบใจ…”
หลี่มู่ยิ้มน้อยๆ “สิ่งที่ท่านกังวลก็มีเหตุผล เช่นนั้นรบกวนท่านขุนพลแจ้งเรื่องนี้ให้ซือถูทราบก่อน ถ้าซือถูเห็นว่าไม่เหมาะสม ข้าก็จะล้มเลิกความคิดนี้เสีย ไม่เอ่ยถึงอีกแม้ครึ่งคำ…เป็นอย่างไร”
หยางเซวียนเตือนแล้วเตือนอีกด้วยความหวังดี พยายามโน้มน้าวยิ่งยวด ในที่สุดก็เห็นหลี่มู่เริ่มคล้อยตามคำโน้มน้าวของตนบ้างแล้วก็ค่อยโล่งอก รีบบอก “ดียิ่งนัก! เช่นนั้นข้าจะแจ้งซือถูก่อน ถ้าไม่สำเร็จเจ้าก็อย่ายืนกรานในความคิดนี้ต่อไปอีก!”
หลี่มู่ประสานมือคารวะเขาอย่างนอบน้อม “ขอบคุณท่านขุนพล! หลี่มู่จะรอฟังข่าวจากท่านขุนพลอยู่ที่นี่!”