ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 9-บทที่ 10
หยางเซวียนเกลี้ยกล่อมหลี่มู่ให้ล้มเลิกความคิดเลยเถิดที่เขาดูแล้วไม่มีทางเป็นความจริงได้ไม่สำเร็จ ที่รับปากไว้ก็ด้วยมาจากจิตใจที่รักและหวังดี
ในส่วนลึกของจิตใจ เขาเห็นหลี่มู่เป็นเหมือนลูกหลานมานานแล้ว เพียงกลัวหลี่มู่จะไปขอให้ผู้อื่นช่วย ถึงตอนนั้นเกิดพูดจาไม่เหมาะสมต่อหน้าเกาเฉียว กระทั่งไปตำหนิกล่าวโทษเกาเฉียวเข้า
ยิ่งไปกว่านั้นหลี่มู่ที่ปกติยามอยู่นอกสนามรบ แม้แต่ไรมาจะเป็นคนนิ่งเงียบพูดน้อย เปรียบกับคนในวัยเดียวกันแล้วดูสุขุมคัมภีรภาพกว่าไม่รู้เท่าไร แต่จะอย่างไรก็เป็นช่วงอายุที่จิตใจฮึกเหิมกำลังวังชาแข็งแกร่ง ท่าทีเปิดเผยตรงไปตรงมา ทั้งมาเจอเรื่องชายหญิงเช่นนี้ ถ้าเป็นเพราะอายุน้อยไม่รู้การควรไม่ควร ด้วยความหุนหันพลันแล่นหลับหูหลับตาไปเจรจาเรื่องแต่งงานด้วยตนเอง ถึงตอนนั้นเกิดหลี่มู่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามต่อหน้า เขาเองก็คงไม่อาจทนดูได้ ด้วยไม่รู้จะทำอย่างแล้วสุดท้ายจึงจำต้องรับปาก
หยางเซวียนออกจากกระโจม มองกระโจมที่ตั้งอยู่ห่างออกไปแวบหนึ่ง ตอนนี้ในกระโจมหลังนั้นมีบุคคลสำคัญในราชสำนักหลายคนรวมตัวกันอยู่ หัวคิ้วเขาขมวดมุ่น ทางหนึ่งก็ครุ่นคิดว่าอีกสักครู่จะเอ่ยปากเช่นไร ทางหนึ่งก็เดินไป ครั้นเดินเข้ามาใกล้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านในกระโจมแต่ไกล
หัวหน้าตระกูลขุนนางชั้นสูงสุดของราชสำนักทั้งสามตระกูล เกาเฉียว สวี่มี่ อีกทั้งลู่กวงล้วนอยู่กันครบ คนที่หัวเราะเสียงก้องกังวานที่สุดก็คือสวี่มี่
หยางเซวียนมาถึงหน้าประตูกระโจม พูดกับทหารรักษาการณ์สองสามคำ
ทหารรักษาการณ์ผู้นั้นเข้าไปแล้ว ครู่หนึ่งม่านประตูกระโจมก็เลิกขึ้น สวี่มี่เดินออกมา ใบหน้าแดงระเรื่อไปด้วยฤทธิ์สุรา
หยางเซวียนก้าวเข้าไปคารวะเขา
สวี่มี่เมามายเล็กน้อย ถูกขัดจังหวะต้องออกมาเช่นนี้เขาก็ไม่ค่อยพอใจ ย่นหัวคิ้วถาม “มีเรื่องใด”
หยางเซวียนกล่าวอย่างนอบน้อม “เรียนซือถู ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งต้องแจ้งให้ซือถูทราบก่อน จึงได้ล่วงเกินเชิญซือถูออกมา ซือถูได้โปรดอภัย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลี่มู่”
“เขามีเรื่องอันใด”
ครานี้สีหน้าของหลี่มี่ค่อยผ่อนคลายลง
หยางเซวียนลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ซือถูยังจำได้หรือไม่ขอรับ เมื่อหลายเดือนก่อนตอนเกาเซี่ยงกงไปเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จกองทัพที่นอกเมืองตันหยาง ได้เคยรับปากหลี่มู่ บอกวันหน้าไม่ว่าเขาจะร้องขอสิ่งใดก็จะรับปากเขาทุกอย่าง”
สวี่มี่อืมออกมาคำหนึ่ง “อย่างไร เวลานี้เขามีเรื่องจะร้องขอแล้ว? เขาต้องการร้องขอสิ่งใด” น้ำเสียงเจือความไม่พอใจอยู่รำไร
“เรียนซือถู สิ่งที่หลี่มู่ร้องขอก็คือ…บุตรีของเกาเซี่ยงกง”
หยางเซวียนพูดอย่างระมัดระวัง เขาเหลือบตามองไปเห็นสีหน้าสวี่มี่ชะงักนิ่ง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายประหลาดใจอย่างยิ่ง ครู่หนึ่งคล้ายเพิ่งได้สติกลับคืนมา ยิ้มหยันแล้วว่า “คนล้วนประจบและแอบอิงผู้มีอำนาจ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง! เพิ่งจะได้เป็นขุนพลจงหลางเล็กๆ คนหนึ่ง ถึงกับไม่เห็นคนในสายตาแล้ว เขาเข้าใจว่าได้ผูกสัมพันธ์กับสกุลเกาแล้วต่อไปภายหน้าไม่ว่าทำอะไรก็จะราบรื่นไปเสียทุกอย่างหรือ”
หยางเซวียนรีบบอก “ซือถูโปรดอย่าเข้าใจผิด! หลี่มู่ไม่ใช่คนที่เห็นผลประโยชน์ก็ลืมคุณธรรม ซือถูอุปถัมภ์ค้ำชูเขามาหลายปี เขามีหรือจะกล้าไม่สำนึกถึงบุญคุณ เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รู้จักหลักครองตนในสังคม บุตรีของเกาเซี่ยงกงผู้นั้นก็มีชื่อเสียงที่ดีงามมาโดยตลอด คนหนุ่มใฝ่ฝันหาขึ้นมาชั่วขณะ ควบคุมตนเองไม่ได้ก็มีให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่เขาก็พูดเอง ทุกเรื่องล้วนฟังความเห็นจากซือถูก่อน ถ้าซือถูเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะ เขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนเป็นอันขาด ซือถูวางใจได้ ผู้น้อยทราบดีว่าควรให้คำตอบเขาอย่างไร ผู้น้อยจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ไม่กล้ารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของซือถูอีก”
หยางเซวียนค้อมตัวกล่าวลาแล้วจากไป
สวี่มี่มองจ้องเงาด้านหลังของหยางเซวียน จนเขาเดินออกไปได้หลายจั้งแล้ว ก็พลันเอ่ยปากเรียกเขาเอาไว้
หยางเซวียนรีบเดินกลับมา รอสวี่มี่เอ่ยปาก ผ่านไปครู่ใหญ่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร เห็นเขาเพียงมองจ้องตน แววตาเปล่งประกายระยิบระยับเล็กน้อย ท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ ชั่วขณะนั้นตนก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ ออกจะนึกเสียใจขึ้นมา
ไม่รู้เหตุใดเมื่อครู่ตนจึงยอมศิโรราบต่อผู้ใต้บังคับบัญชาหนุ่มผู้นั้นที่ดูจากอายุแล้วก็โตกว่าบุตรชายของตนไม่เท่าไร ถึงกับยอมอ่อนข้อให้ รับปากเรื่องที่ฟังดูแล้วเหลวไหลอย่างที่สุดนี้ได้
เรื่องนี้ทางที่ดีควรหยุดอยู่แค่ตน เดิมทีไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรให้สวี่มี่รู้เรื่อง
สวี่มี่เชี่ยวชาญการใช้คน แต่ใจคอค่อนข้างคับแคบ ติดตามเขามานานปีปานนี้หยางเซวียนย่อมรู้แก่ใจดี
“ซือถู…”
หยางเซวียนกำลังจะช่วยพูดแทนหลี่มู่สักหลายคำ กลับเห็นเขาโบกๆ มือ ค่อยๆ เผยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
สีหน้าดำคล้ำในช่วงก่อนหน้านี้เลือนหายไปหมด
“ป๋อสยง” สวี่มี่เรียกชื่อรองของหยางเซวียน น้ำเสียงใกล้ชิดสนิทสนม
“เมื่อครู่เป็นเพราะข้าขาดการไตร่ตรอง ในเมื่อหลี่มู่มีความคิดเช่นนี้ จิ่งเซินเองเมื่อก่อนก็เคยรับปากไว้ เจ้าเอ่ยปากแทนเขาก็แล้วกัน ไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ”
หยางเซวียนงงงัน
“เลือกวันไม่สู้เอาวันนี้เลย จิ่งเซินก็อยู่ข้างใน ฉวยโอกาสที่วันนี้เขาเองก็กำลังดีใจ เจ้าตามข้ามา” พูดจบสวี่มี่ก็กวักมือ หมุนตัวจะเดินเข้าไปข้างใน
จู่ๆ ท่าทีของสวี่มี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นี่กลับทำให้หยางเซวียนรับมือไม่ทัน เห็นเขากำลังเดินเข้าไปในกระโจม ไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญอย่างละเอียดตนก็รีบเดินตามเข้าไป
“ขอบคุณซือถู เพียงแต่ผู้น้อยขอบังอาจพูด ซือถูได้โปรดอนุญาตให้ผู้น้อยบอกเกาเซี่ยงกงเป็นการส่วนตัวจะได้หรือไม่”
สวี่มี่หรี่ตา
“ก็ดี ตามข้ามาเถิด”
สวี่มี่เข้าไปข้างในแล้ว หยางเซวียนจำต้องแข็งใจเดินตามเข้าไป
ในกระโจมหลังใหญ่ตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงเป็นวงอยู่เจ็ดแปดตัว เกาเฉียวอยู่ตรงกลาง ด้านขวามือคือผู่เซ่อฝ่ายซ้ายลู่กวง ที่นั่งถัดลงมาเป็นตูกวนซั่งซู จูจย่ง และคนอื่นๆ