ยามนี้ดวงอาทิตย์ข้างนอกลอยเคลื่อนสูงมากแล้ว ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศมักอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว อี๋อวี้ยังสวมเสื้อคลุมสั้นเนื้อหนาจึงมีเหงื่อซึมเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ นางยกมือขึ้นดึงๆ เสื้อตัวบนซึ่งเย็บด้วยฝีเข็มละเอียดประณีต ในยุคนี้ยังไม่มีกระดุม อาภรณ์โดยมากเป็นแบบสาบเสื้อซ้ายขวาป้ายทับกันแล้วรัดสายคาดเอวง่ายๆ นี่น่าจะเป็นชุดที่สวมกันแต่ในชนบท ไม่ว่ายุคไหนสมัยใด สิ่งของชั้นดีจะปรากฏอยู่ในเมืองที่เฟื่องฟูและหมู่ชนชั้นสูงเสมอ ขณะที่ชาวนามีความเป็นอยู่เรียบง่ายที่สุดเป็นนิจ
หลูซื่อเห็นบุตรสาวเอามือดึงเสื้อก็รู้ว่านางร้อน จึงรีบช่วยคลายสายคาดเอวและขยับสาบเสื้อให้อ้าออกเล็กน้อยโดยไม่ถอดออก คงเพราะกลัวนางโดนความเย็น จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อมาซับเม็ดเหงื่อเล็กๆ บนปลายจมูกกับหน้าผากให้แล้วโบกลมอยู่ใกล้ๆ พอมีไอเย็นสบายลอยมาทำให้นางไม่รู้สึกร้อนอบอ้าวอีก
หลูจื้อซักถามเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบจากมารดา เดิมทีเขาไปเลี้ยงวัวอยู่ตรงเชิงเขา ขณะกำลังอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินจนลืมตัว หลูจวิ้นมาหาเขาด้วยความตื่นเต้น เพียงบอกอย่างคลุมเครือว่าสมองของน้องเล็กเป็นปกติแล้ว เขาก็ทิ้งวัวไว้กับน้องชายแล้ววิ่งกลับมาเองก่อน
จวบจนฟังคำบอกเล่าของหลูซื่อจบ หลูจื้อกลับมีท่าทีเป็นปกติ กล่าวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “ดังว่าสวรรค์มอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่แก่คนเช่นนี้แล ต้องบ่มเค้นให้จิตขื่นขม ตรากตรำให้เนื้อตัวอ่อนล้า น้องเล็กสติปัญญาไม่สมประกอบมานานหลายปี บัดนี้ถึงหายดี คงพ้นเคราะห์พบสุขแล้วเป็นแน่ ภายภาคหน้าฝนฟ้าเป็นใจ ชีวิตสงบราบรื่นตลอดไป”
อี๋อวี้เห็นเขาวางท่าคงแก่เรียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าวัย ก็แอบขบขันในใจอย่างห้ามไม่อยู่ หลูซื่อกลับพยักพเยิดเห็นด้วย นางลุกขึ้นไปตักน้ำในอ่างตรงมุมหนึ่งของห้องมาครึ่งกระบวย เอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดฝุ่นดินตามมือตามหน้าให้พี่น้องสองคน ถึงเดินพึมพำไปที่ห้องเล็กด้านข้างจุดเตาไฟทำอาหาร ตอนแรกผู้เป็นพี่ใหญ่คิดจะไปช่วยติดเตา แต่ถูกหลูซื่อห้ามไว้ บอกให้อยู่เป็นเพื่อนอี๋อวี้ เขาถึงละความตั้งใจ
ทั้งสองเห็นหลูซื่อเดินเข้าไปในส่วนที่กั้นขึ้นเป็นห้องครัวแล้วหันหน้ามาสบตากัน หลูจื้อมองน้องสาวที่ไม่มีท่าทางเลื่อนลอย ดูผิดแผกไปจากในกาลก่อน ดวงหน้าขาวอ่อนนุ่มไร้เดียงสาน่าเอ็นดูสุดจะกล่าว เขายื่นมือไปหยิกแก้มเล็กๆ ของนางอย่างอดใจไม่อยู่
อี๋อวี้ตัวแข็งทื่อไปในชั่วอึดใจที่ถูกหยิกแก้ม เมื่อครู่นางยังคิดจะหยอกเขา ไม่คิดว่าตอนนี้กลับเป็นฝ่ายถูกหยอกเสียเอง ครั้นนึกถึงฐานะของตนเองในยามนี้ขึ้นได้ นางก็ย่นจมูก บีบน้ำตาออกมาสองหยด
หลูจื้อรีบปล่อยมือเมื่อเห็นนางทำท่าเจ็บ หากปากยังกล่าวอย่างจริงจัง “ไม่รู้ว่าเหตุใดก็อยากหยิกแก้มเจ้า”
“เจ็บ” อี๋อวี้เปล่งเสียงพูดแสดงความไม่พึงใจ
หลูจื้อได้ยินนางร้องเจ็บคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สายตาเขาหม่นวูบ เอ่ยปากเนิบๆ “เมื่อก่อนเจ้ามักไม่มีปฏิกิริยาอะไร ข้าแอบหยิกแก้มเจ้าบ่อยๆ หวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะร้องเจ็บสักคำได้ก็คงดี” กล่าวจบเขาหันหลังให้ไม่ปริปากอีก
อี๋อวี้มิได้อยู่มายี่สิบปีอย่างเสียเปล่า รู้ว่าเขาคงขมขื่นใจจนอดอยากร่ำไห้ไม่ได้ถึงมีท่าทางอย่างนี้ ยิ่งพอคิดไปถึงเสียงพูดราบเรียบของเขา พาให้เจ็บแปลบๆ ตรงกลางอก เด็กคนนี้แสดงความรู้สึกในใจออกมาด้วยวิธีของตนเอง มีหรือที่คนความรู้สึกไวอย่างนางจะไม่เข้าใจถึงความผิดหวังทุกครั้งที่น้องสาวไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับและความสงสารที่มีต่อน้องสาวในอดีตของเขา
แต่ไรมาอี๋อวี้จะใจอ่อนกับคนที่ดีต่อตนเองมาก ส่งผลให้บังเกิดความรู้สึกเริ่มสนิทสนมกับพี่ชายคนนี้ นางเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อเขาพลางร้องเรียก “พี่ใหญ่” ร่างของหลูจื้อที่หันหลังให้นางชะงักนิ่ง
“อื้อ” เขากล่าวตอบเสียงเครือ จากนั้นทั้งคู่ก็นิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอยู่เช่นนี้
จนกระทั่งหลูจวิ้นวิ่งเข้ามาจากข้างนอกถึงทำลายความเงียบภายในห้องลง
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ต.ค. 62)