เวลานี้อี๋อวี้ถึงหายตกตะลึงจากการลงโทษเฆี่ยนตีในครอบครัว นางมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าโดยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนในครอบครัวนี้ เห็นพวกเขาเสียใจถึงปานนั้น พาให้ในใจเจ็บแปลบปลาบเป็นระลอก พอร้อนใจขึ้นมาก็ส่งเสียงเรียกคำหนึ่งโดยไม่ยั้งคิด “แม่!”
ราวกับนางใช้เรี่ยวแรงสุดตัวถึงเปล่งเสียงเรียกคำนี้ออกมาได้ มาตรว่าเสียงจะแหบพร่าทว่าชัดเจนมาก ชั่วอึดใจเดียวสองคนที่ยังร้องห่มร้องไห้อยู่หันหน้ามามองพร้อมกัน ในดวงตาของพวกเขาทั้งคล้ายตกใจแกมยินดี ทั้งคล้ายงุนงงระคนกังขา บันดาลให้บรรยากาศชวนปวดใจผ่อนคลายไปด้วย
หลังจากอี๋อวี้ส่งเสียงเรียกไปแล้วนึกเสียใจทีหลังอยู่สักหน่อย แม้นางไม่ตั้งใจจะแสร้งทำปัญญาอ่อนต่อไป แต่ไม่ได้คิดจะ ‘หายดี’ อย่างรวดเร็วเพียงนี้ กระนั้นเมื่อเห็นแววยินดีปรีดาในดวงตาของสองแม่ลูกคู่นั้น นางใจอ่อนยวบโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ช่างเถิด หายดีก็หายดี เวลานี้นางยึดครองร่างกายผู้อื่นไปแล้วก็ต้องทำหน้าที่ที่สมควรทำให้ดีที่สุด
คนที่ตั้งสติได้ก่อนคือหลูจวิ้น เขาตะกายลุกพรวดขึ้นจากพื้นพุ่งเข้ามาคว้าหมับที่แขนนาง พูดเสียงร้อนรน “เสี่ยวอวี้ เมื่อครู่นี้เจ้าเรียกท่านแม่แล้วใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่เสี่ยวอวี้”
อี๋อวี้เห็นเขาทำสีหน้าตื่นเต้น พอเอี้ยวคอไปยังมองเห็นดวงตาบวมแดงเรื่อๆ ของหลูซื่อกำลังจับจ้องตนเองเขม็ง นางยิ่งใจอ่อนลงอย่างสุดระงับ
ด้วยเหตุนี้นางอ้าปากเรียกแม่อีกคำโดยปราศจากความลังเลใดๆ ครานี้แม่ลูกสองคนดีอกดีใจเจียนคลั่งกันเลยทีเดียว
หลูจวิ้นอุ้มนางไว้แล้วเริ่มหัวเราะร่า ฝ่ายหลูซื่อก้าวฉับๆ เข้ามาแย่งตัวนางไปไว้กับอ้อมแขนตนเอง ตะแคงตัวลงนั่งบนเตียงแล้ววางนางไว้บนตัก พูดกับนางอย่างตื่นเต้น “อวี้เอ๋อร์ เรียกแม่อีกคำนะ เรียกแม่สิ”
อี๋อวี้ส่งเสียงเรียกติดๆ กันสองครั้งอย่างว่าง่าย ถึงกับส่งผลให้หลูซื่ออุ้มชูตัวนางขึ้น และร้องตะโกนซ้ำๆ ด้วยความคึกคักร่าเริง “อวี้เอ๋อร์พูดเป็นแล้วๆ ลูกรักของแม่พูดเป็นแล้ว”
เห็นหลูซื่อปลาบปลื้มปีติจากส่วนลึกของจิตใจ อี๋อวี้เริ่มรู้สึกลำคอตีบตัน กระแสอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเอ่อท้นตรงกลางอกช้าๆ ทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายหาได้มีความรู้สึกนี้ต่อวิญญาณที่มาจากพันปีข้างหน้าอย่างตน แต่นางยังตื้นตันใจอยู่ดี หวังจากใจจริงว่าสายสัมพันธ์นี้จะเป็นของตนเอง ไม่ว่านางจะวางท่าเฉยเมยอย่างไร ปากพูดว่าความรักในครอบครัวไม่สำคัญอย่างไรสักเพียงใด เด็กกำพร้าคนหนึ่งอย่างนางกลับปรารถนาความอบอุ่นในครอบครัวอยู่ในใจเสมอมา ยามนี้ก็อนุญาตให้นางได้ยึดครองความผูกพันที่เดิมมิได้เป็นของของตนเองเหล่านี้ไว้ แสร้งทำเป็นว่าทั้งหมดนี้เป็นของของนางอย่างเห็นแก่ตัว
“เสี่ยวอวี้ เรียกพี่ชายสักคำ เรียกพี่ชายสิ”
“ใช่ เรียกพี่ชายสิ” หลูซื่อวางนางลงนั่งบนตักอีกครั้ง หลูจวิ้นขยับเข้ามาใกล้ ทั้งคู่มองนางด้วยแววตาคาดหวัง นี่ทำให้หลูอี๋อวี้ซึ่งมีอายุยี่สิบกว่าแล้วยังต้องแสร้งทำเป็นเด็กหน้าแดงด้วยความอายน้อยๆ แต่นางยังคงเรียกพี่ชายคำหนึ่งอย่างเชื่อฟัง พอเห็นเด็กชายยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหู รวมถึงน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มที่นองหน้าหลูซื่อแล้ว นางก็คลี่ยิ้มไปด้วยอย่างสุดจะห้าม
นางรู้สึกจริงๆ ว่าตนเองโชคดีมากที่หลังจากตกตึกตายแล้วย้อนเวลากลับมาในยุคโบราณ กลับได้รับความรักในครอบครัวที่ปรารถนามาโดยตลอด
จะไม่ให้นางรู้สึกโชคดีได้อย่างไรเล่า ถึงช่องว่างระหว่างยุคสมัยยังคงอยู่ กระนั้นสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นตรงหน้าทำลายกำแพงในใจของนางลงแล้ว ไม่ว่านางจะมายังที่แห่งนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสวรรค์ส่งนางมาที่นี่ นางก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตเป็นเด็กหญิงคนนี้อยู่ต่อไป
คิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกผิดก่อนหน้านี้ยิ่งลดน้อยลง นางไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่ชอบดันทุรัง มัวนึกละอายใจที่ครอบครองความสุขของคนอื่นไว้ อีกทั้งจะไม่ปล่อยให้ตนเองจมจ่อมกับความสับสนทุกข์ใจ แต่ไรมานางคิดอะไรง่ายๆ พยายามใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ไปหมกมุ่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว บัดนี้นางแค่อยากพยายามเป็น ‘อี๋อวี้’ ในยุคอดีตนี้ให้ดีๆ