ชั่วครู่ใหญ่ต่อมา สีหน้าของหลูซื่อกลับเป็นปกติแล้ว สายตาไม่ฉายแววเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวเลื่อนลอยละม้ายที่เพ่งมองนางเมื่อครู่นี้ อี๋อวี้ลอบถอนหายใจโล่งอก นางอ้าปากหาวทีหนึ่งอย่างเริ่มรู้สึกวิงเวียนง่วงงุน หลังจากวุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน ร่างกายของเด็กน้อยอ่อนเยาว์ย่อมทานทนไม่ไหวเป็นธรรมดา หลูซื่อเห็นท่าทางของนางก็เปลี่ยนท่าอุ้มให้นางสบายตัวขึ้น มือหนึ่งยังตบหลังนางเบาๆ
อี๋อวี้คิดคำนึงว่าได้งีบหลับในอ้อมอกมารดาสักครู่หนึ่งก็ดีเหมือนกัน แต่นางเพิ่งปิดเปลือกตาลงได้ไม่นาน ชะรอยว่าหลูซื่อนึกว่านางหลับไปแล้ว ถึงกับพึมพำกับตนเองเบาๆ ว่า “ลูกแม่ นี่มันช่างคล้ายฝันไปจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสี่ปีมานี้นี่เป็นคราแรกที่แม่ดีใจถึงเพียงนี้ ตอนตั้งครรภ์เจ้าต้องลำบากลำบนไม่น้อย ยังไม่ครบกำหนดก็คลอดเจ้าออกมา พอเจ้าย่างสองขวบแม่เพิ่งพบว่าเจ้าไม่ปกติ ท่านหมอทั้งหลายต่างลงความเห็นกันว่าเพราะแม่เลินเล่อตอนตั้งครรภ์ เจ้าเลยต้องสติปัญญาไม่สมประกอบไปชั่วชีวิต แม่มีชีวิตอยู่ถึงปูนนี้ กระทำสิ่งใดไม่เคยนึกเสียใจทีหลังมาก่อน มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำให้แม่ได้ลิ้มรสชาติความรู้สึกนี้ ใช่หรือไม่ว่าครั้งนั้นแม่ดื้อรั้นเกินไปถึงทำร้ายเจ้า…สวรรค์เมตตาลูกของแม่ สุดท้ายทุกสิ่งล้วนผ่านพ้นไปแล้ว”
อี๋อวี้ฟังนางพึมพำกับตนเองก็นึกถึงที่แต่ก่อนมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเคยพูดว่าคนสมองพิการเพราะมีวิญญาณไม่ครบดวง ยิ่งกว่านั้นยังมีบางคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่แต่วิญญาณหายไปตอนคลอด แม้เป็นความเชื่องมงาย แต่เวลานี้ดูไปแล้วเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง หาไม่แล้วไฉนคนปกติคนหนึ่งถึงถูกคนที่มาจากอนาคตอย่างนางสวมร่างได้ ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจจะไม่มีวิญญาณเลยดึงดูดนางมาหา ความคิดเพ้อเจ้อของนางกลับสอดคล้องกับความจริงสองสามส่วน ตอนนี้ก็พักเรื่องนี้ลงก่อนชั่วคราว วันหน้าย่อมไขคำตอบได้เอง
อี๋อวี้หลับไปพร้อมกับเสียงกระซิบของหลูซื่อ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด คนนอนไวอย่างนางถูกเสียงตะโกนเรียกปลุกให้ตื่นขึ้น เด็กหญิงเพิ่งลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียพลันได้ยินเสียงร้องปรามแผ่วเบาของหลูซื่อ นางหันหน้าไปดู เพียงเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนหายใจกระหืดกระหอบอยู่หน้าประตูมองนางด้วยแววตาวาววับ พริบตาเดียวภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเขาบางส่วนก็ผุดขึ้นมาในหัว เห็นทีว่านี่คือหลูจื้อ พี่ใหญ่ของนางแล้ว
หลูซื่อก้มหน้าลงเห็นอี๋อวี้ถูกปลุกให้ตื่นก็ตวัดมองหลูจื้อแวบหนึ่งด้วยสายตาตำหนิ เขากลับไม่กลัวนาง รอเมื่อหายใจเป็นปกติแล้วจึงเดินลิ่วๆ มาที่ข้างเตียงเรียกขานมารดาคำหนึ่งอย่างเคารพนับถือก่อน ถึงจับจ้องน้องสาวอีกคราด้วยท่าทางแฝงความตื่นเต้นน้อยๆ
อี๋อวี้แลมองใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลาของเขา ลอบรำพึงว่านี่ก็เป็นเจ้าหนูเสี่ยวเจิ้งไท่แห่งราชวงศ์ถังอีกคนแล้ว แค่ดูจากท่าทางเขาก็รู้ว่าเขาห่วงใยน้องสาวของตนปานใด
ฉะนั้นไม่รอให้ทั้งคู่เอ่ยปาก อี๋อวี้ก็ส่งเสียงเรียก “พี่ชาย” ก่อนเอง หลูจื้อได้ยินแล้วหน้าบานทันใด แต่เขาเพียงขานรับนางด้วยน้ำเสียงเจือรอยเต็มตื้น หาได้ตะโกนเอะอะอย่างหลูจวิ้น
อี๋อวี้นึกในใจ สองพี่น้องคู่นี้ล้วนมีหน้าตาไม่เลวเลย หลูจวิ้นถอดเค้าหน้าคมเข้มชวนพิศจากหลูซื่อ ส่วนความหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของหลูจื้อนี้ไม่เหมือนมารดา เช่นนั้นคงประพิมพ์ประพายคล้ายบิดาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้อี๋อวี้ก็วางใจในสายเลือดของตนเองได้ รูปโฉมของบิดามารดาเข้าขั้นดีพอสมควรทั้งคู่ ไม่ว่าอย่างไรวันหน้านางคงเป็นสาวงามพริ้มเพราคนหนึ่งกระมัง
“ดูเจ้าชอบอกชอบใจใหญ่ วันทั้งวันทำตัวเป็นหนอนหนังสือ น้อยครั้งนักที่แม่จะเห็นเจ้าดีใจขนาดนี้” หลูซื่อกระเซ้าบุตรชายคนโตอย่างอารมณ์ดีเหลือหลาย ยังเอื้อมมือไปหยิกแก้มเขาทีหนึ่ง
หลูจื้อยังมีรอยยิ้มบางๆ บนหน้า ไม่มีท่าทางขัดเขินขุ่นเคืองให้เห็น อี๋อวี้เห็นแล้วคันไม้คันมือมาก อยากหยิกแก้มเขาบ้างใจจะขาด