ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 11
บทที่สิบเอ็ด
“ส่งข้ากลับไป!” หลังเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้น อี๋อวี้ลุกพรวดขึ้นนั่ง ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างจับจ้องไปข้างหน้า เห็นหลูซื่ออ้าปากน้อยๆ มองนางอยู่อย่างตกใจ มือข้างหนึ่งที่ถือผ้าเช็ดหน้าไว้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
อี๋อวี้ลำคอตีบตันอย่างสุดระงับเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตานี้ นางโผเข้าไปซบอกมารดาสูดดมกลิ่นกายที่คุ้นเคยแล้วปล่อยโฮร้องไห้ออกมา หลูซื่อตกใจเพราะนางเป็นคำรบที่สอง หากพริบตาเดียวก็นึกไปว่าก่อนหน้านี้บุตรสาวเสียขวัญจนหมดสติไป ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกหวาดกลัวถึงเป็นเช่นนี้ นางนึกในใจว่าลูกคนนี้ปกติทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่เวลาร้องไห้ยังคงมีท่าทางเหมือนเด็กน้อยอยู่ ก็พาให้สายตาอ่อนโยนยิ่งขึ้น นางใช้มือหนึ่งกอดตอบพร้อมตบหลังบุตรสาวเบาๆ อย่างปลอบขวัญ
จวบจนหลิวเซียงเซียงซึ่งนั่งนิ่งอยู่ด้านข้างเห็นอี๋อวี้ร้องไห้เป็นเวลาสองถ้วยชาแล้วไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซ้ำยังเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ นางก็กระแอมไอเบาๆ สองที ก่อนเอ่ยปรามด้วยวาจานุ่มนวล “เสี่ยวอวี้ไม่ต้องกลัวนะ พวกเราปลอดภัยแล้ว ขืนเจ้าร้องไห้อีก เกรงว่าท่านแม่เจ้าจะหลั่งน้ำตาตามไปด้วย”
อี๋อวี้ได้ยินคำพูดนี้แล้วค่อยๆ หยุดสะอึกสะอื้นทีละน้อย สองแก้มร้อนซู่ยามเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของมารดา นางเพิ่งสำเหนียกถึงความผิดปกติ และเสียงครืดคราดที่ดังริมหู จึงตระหนักได้ว่าขณะนี้ทุกคนอยู่บนรถม้า นางรับผ้าเช็ดหน้าที่หลูซื่อยื่นให้มาเช็ดหน้าลวกๆ ครั้นในห้วงสมองมีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ประดังประเดเข้ามา นางก็ผินหน้ามองไปที่เงามืดฝั่งตรงข้าม
ภายในตัวรถม้าคันนี้กว้างขวางมาก มีเบาะนุ่มๆ กว้างหนึ่งฉื่อเศษวางรองพื้นทั้งสามด้าน อี๋อวี้อิงแอบอยู่ในอ้อมอกหลูซื่อ ส่วนหลิวเซียงเซียงนั่งอยู่ข้างๆ แม้พวกนางสามคนยึดครองพื้นที่เพียงมุมเดียวก็ไม่รู้สึกเบียดเสียด
ผนังตัวรถม้ามีหน้าต่างเล็กๆ กว้างครึ่งฉื่ออยู่ทั้งสองฝั่ง ยามนี้แสงขาวหม่นมัวจับท้องฟ้าด้านนอกแล้ว รถม้าแล่นตะบึงเร็วรี่ ลมแรงด้านนอกพัดม่านหน้าต่างผืนเล็กปลิวขึ้นเป็นระยะ บันดาลให้ในรถม้าที่มืดสลัวตอนแรกมีแสงสว่างรำไรๆ
อี๋อวี้หันไปมองเห็นคนผู้หนึ่งนั่งเงียบเชียบอยู่อีกด้าน ลำแสงนอกผ้าม่านที่เล็ดลอดเข้ามาส่องกระทบดวงหน้าคมคายสะท้อนเข้าสู่คลองจักษุ ขนคิ้วมีสีอ่อนแต่ดกหนาพาดยาวถึงขมับ ดวงตาปิดอยู่แต่แพขนตาขยับเบาๆ จมูกงุ้มแต่โด่งเป็นสันตรง ริมฝีปากบางแต่เนียนนุ่มชุ่มชื้น เรือนผมสีดำรวบขึ้นอย่างเรียบร้อยอวดหน้าผากโหนกนูน ตรงมวยเหนือศีรษะมีเกี้ยวครอบผมหยกดำสลักลายขนาดเท่ากำปั้นทารกครอบตรึงไว้ อาภรณ์ตัวนอกเป็นเสื้อคลุมยาวผ้าแพรลายเมฆาสีน้ำเงินแก่ ตกแต่งรอบคอเสื้อด้วยขนสัตว์นุ่มละเอียด
รูปโฉมและการแต่งกายล้วนไม่สามัญ เขาต้องเป็นคุณชายหนุ่มน้อยของตระกูลใดแน่นอน หากดูแค่หน้าตาคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับหลูจื้อ แต่เค้าหน้าเจ้าทิฐิยังแฝงความเยาว์วัยไว้จางๆ ขณะที่เรือนกายของเขาสูงไล่เลี่ยกับหลูจวิ้น แต่รูปร่างผอมบางกว่า เวลานี้เขานั่งเหยียดหลังตรงหลับตาอยู่ แม้ไม่เห็นเขาลืมตา ทว่าพิศจากรูปลักษณ์ผิวพรรณกลับไร้ที่ติใดๆ ถ้ามิใช่ว่าปีกจมูกขยับเบาๆ ยามหายใจ อี๋อวี้ยังนึกไปว่าคนผู้นี้เป็นรูปปูนปั้นจริงๆ เขานับเป็นหนุ่มน้อยคนแรกซึ่งมีรูปโฉมโนมพรรณไม่ด้อยกว่าพี่ชายสองคนเท่าที่นางได้เคยพบเห็นในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“เสี่ยวอวี้ ท่านนี้คือผู้มีพระคุณที่ช่วยพวกเราเอาไว้ คุณชายฉาง” หลูซื่อจับผมที่หลุดรุ่ยร่ายของบุตรสาวให้เข้าที่พลางเอ่ยบอกเสียงเบาๆ
อี๋อวี้ย่อมรู้ว่าพวกนางนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างปลอดภัย จะต้องเป็นอีกฝ่ายช่วยเอาไว้ เพียงแต่นางเพิ่งตื่นขึ้นมาเห็นมารดาแล้วในใจกำลังเต็มตื้น อีกทั้งยังมีเรื่องที่วิญญาณหลุดลอยกลับสู่ร่างเดิมในภวังค์ฝันอีก พอหลูซื่อเอ่ยขึ้นในตอนนี้ นางถึงกล่าวกับคุณชายหนุ่มน้อยอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
หนุ่มน้อยตรงหน้ายังหลับตาไม่กล่าวตอบดุจเดิม แต่นางเห็นทางหางตาว่าเขาพยักหน้าน้อยๆ อี๋อวี้เป็นคนช่างสังเกตสังกามาแต่ไหนแต่ไร จึงสัมผัสได้ว่ารอบกายเขาแผ่กลิ่นบางอย่างที่ไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ นางจะชวนสนทนาต่อก็ใช่ที่ แล้วเมื่อได้ยินหลูซื่อกระซิบอธิบายตรงข้างหูว่าคุณชายฉางไม่ชมชอบวิสาสะกับผู้อื่น เลยหันไปพูดกับมารดาไต่ถามถึงเหตุการณ์หลังจากตนเองสิ้นสติไป
อี๋อวี้ใช้นิ้วโป้งถูไถกับนิ้วชี้เบาๆ ขณะฟังคำบอกเล่าของหลูซื่ออย่างตั้งใจ
หลังจากนางหมดสติไปในตอนสถานการณ์คับขัน พวกบ่าวผู้ชายในตระกูลจางทางด้านหลังไล่ตามมาทันแล้ว แต่ละคนถืออาวุธพวกเหล็กง่ามไม้พลองไว้ในมือ และจูงสุนัขดุร้ายที่เห่ากระโชกไม่หยุดมาตีวงล้อมพวกนางกับรถม้าคันนี้ไว้ หมายบังคับให้พวกนางตามกลับไปแต่โดยดี หลูซื่อซึ่งยอมรับชะตากรรมว่าหนีไม่พ้นคราวเคราะห์แล้วกลับได้ยินสารถีกระโดดลงมา เขาเล่นงานบ่าวผู้ชายตัวใหญ่กำยำสิบกว่าคนลงไปนอนหมอบกับพื้นทั้งหมดในอึดใจเดียว จากนั้นเชิญพวกนางสามคนขึ้นรถม้าแทนผู้เป็นนาย ระหว่างนั้นได้ยินเขาอธิบายให้ฟัง ถึงรู้ว่าหนุ่มน้อยผู้เงียบขรึมด้านในมีแซ่ว่า ‘ฉาง’
หลูซื่อไม่ถือสาท่าทีเฉยเมยของอีกฝ่าย เมื่อสารถีซักถาม นางก็เล่าเรื่องที่ถูกนายตำบลบังคับขู่เข็ญรอบหนึ่งอย่างคร่าวๆ และบอกว่าตนเองตั้งใจจะกลับไปหมู่บ้านเค่าซานเอาสัมภาระกับทรัพย์สิน หลังสารถีถามคุณชายฉาง เขาเพียงนิ่งเงียบเป็นเชิงเห็นพ้องกับการพาพวกนางส่งกลับไป ส่วนอี๋อวี้ฟื้นสติขึ้นมาหลังจากสลบไสลไปนานครึ่งชั่วยาม
ขณะนี้ขบวนของพวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเค่าซาน รถม้าคันนี้แล่นเร็วเหลือหลาย หลูซื่อไม่กลัวว่าตอนกลับไปหยิบสัมภาระที่เรือน คนของสกุลจางที่รู้ว่าพวกนางหลบหนีไปจะเร่งรุดมาถึงก่อน เมื่อรถม้าชะลอความเร็วลงทีละน้อย นางเลิกมุมผ้าม่านขึ้นมองทิวทัศน์สองข้างทาง เห็นว่ามาถึงเขตด้านนอกของหมู่บ้านแล้ว
ยามรถม้าแล่นเข้าไปในหมู่บ้าน ฟ้ายังไม่สว่าง อีกทั้งหลายวันนี้ในแปลงนาไม่มีงานสำคัญอะไรต้องตื่นไปทำแต่เช้า ด้วยเหตุนี้ยังไม่มีเรือนไหนตื่นนอนทำให้เรื่องง่ายขึ้นไม่น้อย
หลูซื่อลงจากรถม้าเดินเข้าสู่ลานเรือนอย่างลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง ครั้นเห็นจากภายนอกว่าประตูปิดมิดชิดดี แต่พอผลักทีเดียวก็เปิดอ้าออก นางทำสีหน้าหนักอึ้งขณะก้าวเท้าเข้าไปสำรวจทั่วทั้งเรือน แล้วก็ต้องแปลกใจที่พบว่าไม่มีข้าวของชิ้นใดสูญหายไป กระทั่งถุงสะพายที่ใส่เงินไว้ยังวางอยู่บนเตียงดังเก่า นางระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วจัดเก็บสัมภาระอยู่ข้างในกับหลิวเซียงเซียง ทิ้งอี๋อวี้ไว้ด้านนอก…รับรองแขก
“ผู้มีพระคุณ ท่านกระหายน้ำหรือไม่เจ้าคะ”
“…”
“ผู้มีพระคุณ ท่านหิวหรือไม่เจ้าคะ”
“…”
“ผู้มีพระคุณ ท่านหนาวหรือไม่เจ้าคะ”
“…”