ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 11
อี๋อวี้แลมองคนที่นั่งหลับตาอยู่บนเสื่อด้วยสีหน้าแปลกใจน้อยๆ นางซาบซึ้งใจมากที่เขาช่วยพวกนางเอาไว้ ด้วยตอนนั้นมีอันตรายจวนตัวจริงๆ หากมิใช่คนตรงหน้ากับสารถีคนนั้น พวกนางสามคนคงถูกจับตัวกลับไป และไม่พบกับจุดจบที่ดีอะไรแน่นอน นางตกลงใจแน่วแน่ว่าวันหน้าจะทดแทนบุญคุณของเขาให้ได้
ตอนที่ทุกคนลงจากรถม้าเมื่อครู่นี้ นางเห็นคุณชายฉางหลับตาให้สารถีประคองลงมา ยังนึกว่าเขาเป็นคนตาบอด ดีที่สารถีให้ความกระจ่างว่าเจ้านายของเขาได้รับบาดเจ็บที่ตาเลยโดนแสงไม่ได้เท่านั้น อี๋อวี้ถึงห้ามตนเองไว้ได้ทัน ไม่แสดงความสงสารเห็นใจออกไป
เมื่อแรกที่เขาเดินตามเข้ามา อี๋อวี้คิดว่าเขาจะสั่งกำชับอะไร ทว่านางถามไถ่ไปแล้วหลายคำก็ไม่ได้รับคำตอบใด ถ้าไม่เห็นสารถีขยับเข้าไปใกล้เอียงหูฟังคำสั่งของเขาหลังลงจากรถม้า นางคงนึกว่าเขาเป็นคนใบ้อีกด้วยจริงๆ
ไม่ใช่คนตาบอดกลับลืมตาไม่ได้ ไม่ใช่คนใบ้กลับไม่พูดไม่จา ไม่ใช่คนหูหนวกกลับไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ แม้จะคิดว่าหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณตรงหน้าออกจะทำเกินไปอยู่บ้าง อี๋อวี้ก็ยังคงจัดให้เขาอยู่ในจำพวกคนประหลาดไร้มนุษยสัมพันธ์
เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดตอบ อี๋อวี้ก็ไม่ถามอะไรต่อไป เพียงเบิ่งดวงตาสุกใสทั้งคู่จ้องมองรอยสีเขียวจางๆ ใต้ขอบตาของเขาแล้วปล่อยความคิดลอยไปไกล ประเดี๋ยวคิดถึงเรื่องที่วิญญาณหลุดออกจากร่างในภวังค์ฝัน ประเดี๋ยวคิดถึงการเสี่ยงอันตรายระทึกขวัญเมื่อคืนนี้ ประเดี๋ยวคิดถึงตอนตนเองตายแล้วมองเห็นเหล่าไป๋เสี่ยวเฮยสองพี่น้อง
ดีที่หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงมือไม้ว่องไว เลือกสิ่งของที่ไม่ใคร่ได้ใช้ทิ้งไว้ จัดห่อสัมภาระเหลือแค่สามห่อย่อมๆ
ตอนหลูซื่อออกมาเห็นบุตรสาวเหม่อมองหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณจนตาลอยอย่างไร้มารยาทยิ่ง จึงรีบกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่งเรียกสตินางคืนมา และกล่าวกับคุณชายฉาง “ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกข้าไว้ ได้โปรดบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่าน วันหน้าเมื่อเอ้อร์เหนียงมีโอกาสจะได้ตอบแทนบุญคุณท่านในคราวนี้”
หลูซื่อหาได้ยกตนเป็นผู้อาวุโสเพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มเยาว์วัย นางแสดงคารวะต่อคุณชายฉางอย่างจริงใจ อี๋อวี้เห็นดังนั้นก็รีบไปยืนอยู่ข้างมารดาและโค้งคำนับเขาพร้อมกับหลิวเซียงเซียง
คุณชายฉางไม่ทัดทาน หลังรับการคารวะจากพวกนางยังไม่กล่าววาจาอยู่ดี หลูซื่อจึงเอ่ยขึ้นอีก “ถ้าคุณชายไม่สะดวกใจจะบอกชื่อเสียงเรียงนาม ทุกปีเอ้อร์เหนียงจะไปที่วัดไหว้พระขอพรให้ท่านปลอดภัยแข็งแรงและสมหวังดังใจในทุกสิ่ง”
คุณชายฉางพยักหน้าน้อยๆ หลูซื่อถึงเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมพูด “ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณจะไปที่ใด เห็นทีว่าพวกข้าทำให้การเดินทางของท่านล่าช้าไปไม่น้อย ตอนนี้ข้าจัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ในเรือนมีเกวียนสำหรับเดินทางไกลได้ หากท่านมีเรื่องสำคัญก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่อีก เชิญออกเดินทางเถอะ”
หลูซื่อใคร่ครวญว่าหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณคนนี้พาพวกนางมาส่งแล้วยังรอคอยจนเก็บสัมภาระเสร็จ เห็นได้ชัดว่าเป็นห่วงว่าคนของสกุลจางกลุ่มนั้นจะมารังควานอีก แต่ตอนนี้พอพวกนางได้ออกเดินทางก็จะหนีพ้นจากการจับกุมของสกุลจางแล้ว จึงไม่ต้องการถ่วงเวลาของอีกฝ่ายต่อไป
คาดไม่ถึงว่าคุณชายฉางกลับส่ายหน้าเบาๆ ซ้ำยังเปล่งเสียงพูดขึ้นท่ามกลางความแปลกใจของอี๋อวี้ “ไปด้วยกัน”
อี๋อวี้ได้ยินเสียงของผู้มีพระคุณเป็นคราแรก เด็กหนุ่มในวัยนี้เริ่มเสียงแตกแล้ว ทว่ากลับไม่แหบพร่าระคายหู ตรงกันข้ามสุ้มเสียงที่เจตนากดให้เบาลงนี้ฟังดูหนักแน่นผิดสามัญ แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้อี๋อวี้ยิ่งขึ้นคือ แม้จะแค่สามคำ นางยังจับสำเนียงได้ว่าเขาพูดภาษากลาง!
อี๋อวี้กระหายใคร่รู้เป็นอันมากว่าเขาเป็นคนถิ่นไหนถึงพูดภาษากลางเป็น กระนั้นอี๋อวี้งุนงงสงสัยในความหมายของถ้อยคำนี้มากกว่า ‘ไปด้วยกัน’ หมายความว่าอะไร พวกเขากำลังเร่งเดินทางอยู่มิใช่หรือ แล้วรู้หรือว่าพวกนางจะไปที่ใด หากมิใช่ทางเดียวกันไยต้องพูดว่าไปด้วยกัน แต่ถ้าทางเดียวกันแล้วจะไปด้วยกันอย่างไร เป็นเกวียนตามหลังรถม้า หรือว่ารถม้าแล่นตามเกวียน
ชะรอยว่าคุณชายฉางจะหยั่งเดาความกังขาในใจของทุกคนออก เขาหันกายไปทางหน้าประตู และกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงคงเดิม “อาเซิง”
สารถีเป็นผู้มีโสตประสาทฉับไวมาแต่กำเนิดหรืออย่างไรก็สุดจะรู้ได้ เสียงทุ้มต่ำปานน้ำก็ยังได้ยิน เขากระโดดลงจากรถม้าตรงลานด้านนอกก้าวพรวดๆ เข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นนายในชั่วพริบตา เห็นคุณชายฉางชี้มาที่พวกอี๋อวี้พลางพูดซ้ำคำเดิม “ไปด้วยกัน”
สารถีนามว่าอาเซิงเข้าใจความหมายทันใด เขาหมุนกายไปกล่าวกับหลูซื่ออย่างมีไมตรี “ฮูหยิน พวกท่านออกจากที่นี่แล้วจะไปที่ใดขอรับ”
แม้หลูซื่อจะฉงนใจ ยังคงเอ่ยตอบตามสัตย์จริง “พวกข้าจะเดินทางเข้าด่านไปยังละแวกใกล้ๆ เมืองฉางอัน”
อาเซิงพูดด้วยรอยยิ้ม “บังเอิญโดยแท้ เจ้านายของข้ากำลังจะไปเมืองฉางอันเช่นเดียวกัน พาพวกท่านไปส่งได้พอดี หากฮูหยินเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราขึ้นรถม้ากันเถอะขอรับ”
หลูซื่อถึงกระจ่างแจ้งว่าอีกฝ่ายต้องการให้พวกนางนั่งรถม้าไปจากที่นี่พร้อมกัน นางสั่นศีรษะพลางพูด “แบบนี้ไม่ได้หรอก พวกข้ารบกวนมามากแล้ว ไหนเลยจะกล้าทำให้พวกท่านวุ่นวายมากขึ้น”
อาเซิงได้ยินนางปฏิเสธ เขาหุบยิ้มแล้วกล่าวกับหลูซื่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยิน ท่านคิดว่าการเดินทางสายนี้ง่ายดายนักหรือ แม้บัดนี้แผ่นดินอยู่ในยุครุ่งเรืองสงบสุข แต่พวกพ่อค้าทาสกับโจรปล้นสะดมกลางทางกลับมีอยู่ไม่น้อย อิสตรีสามคนอย่างพวกท่านคิดจะเดินทางข้ามเมืองข้ามถิ่นเป็นเรื่องไม่ปลอดภัยจริงๆ มิสู้ไปพร้อมกับพวกข้า ดีชั่วข้าก็เป็นวรยุทธ์ พวกเราจะได้ช่วยเหลือดูแลกันระหว่างทางนะขอรับ”
อี๋อวี้ฝืนเก็บงำสีหน้าประหลาดใจ ฟังอาเซิงพูดภาษากลางหว่านล้อมมารดาด้วยสำเนียงไม่แปร่งเพี้ยนจนจบ ในใจนางเห็นพ้องกับเขากันว่าทุกคนเดินทางด้วยกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด
พอหลูซื่อได้ยินอาเซิงเอ่ยถึงพ่อค้าทาสกับโจรปล้นสะดมก็หน้าเปลี่ยนสี ใจลอยหวนรำลึกถึงตอนพาลูกๆ ระหกระเหินตลอดทางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร นางสองจิตสองใจครู่เดียว ก่อนจะค้อมกายต่ำคำนับคุณชายฉางพร้อมกล่าว “รบกวนท่านผู้มีพระคุณแล้ว”
นางยกตัวขึ้นแล้วคารวะอาเซิง และเอ่ยขึ้นอีก “รบกวนท่านผู้กล้า” อี๋อวี้กับหลิวเซียงเซียงด้านหลังโค้งคำนับพวกเขาตามไปด้วย นายบ่าวสองคนรับการคารวะโดยไม่อิดเอื้อน
ในเมื่อจะเดินทางด้วยกัน หลูซื่อจึงไม่ลุกลี้ลุกลนอีก นางนำสิ่งของติดตัวไปเพิ่มขึ้นตามคำเสนอแนะของอาเซิง และวางไว้ในช่องลับข้างใต้เบาะบนรถม้า จากนั้นทุกคนขึ้นรถม้าออกจากหมู่บ้านเค่าซานมุ่งหน้าสู่ด่านใน
เมื่อมองดูหมู่บ้านเค่าซานที่เลือนรางห่างไกลออกไปทุกทีๆ จากทางนอกหน้าต่าง ไม่ว่า ณ เสี้ยวเวลานี้จิตใจของสตรีทั้งสามบนรถม้าจะรู้สึกเช่นไร ชีวิตตลอดหลายปีที่ผ่านมาในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากความทรงจำได้ชั่วนิรันดร์