บุตรสาวแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ หลูซื่อก็ลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง ครั้นหันไปเห็นหลิวเซียงเซียงทำท่ากลั้นหัวร่อจึงแย้มปากบอกขันๆ “น้องสาวเจ้าคนนี้ ปกติดูคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง จะมีก็แต่ตอนตื่นเช้านี่ล่ะถึงเหมือนเด็กน้อย นานๆ ไปเจ้าจะรู้เองว่าท่าทางเช่นนี้ของนางหาดูได้ยาก รีบฉวยจังหวะมองบ่อยๆ รอวันใดนางพูดกระเซ้าเจ้า เจ้าจะได้เอามาปิดปากนาง”
หลิวเซียงเซียงส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “เมื่อวานพวกเราพบกันตอนค่ำมืด กว่าจะเห็นหน้ากันชัดถนัดตาก็เป็นเวลาฟ้าสางโน่นแล้ว แต่หน้าตายังมอมแมมกันอยู่ วันนี้ได้สางผมล้างหน้าสะอาดสะอ้านถึงพบว่าน้องสาวข้าคนนี้โฉมงามนัก สมัยอยู่ที่หมู่บ้านใครๆ ล้วนกล่าวว่าข้าหน้าตาสะสวย แต่ตอนข้าแปดเก้าขวบหาได้มีดวงหน้าพริ้มเพราเท่านางปานนี้เลย” แต่เดิมหลิวเซียงเซียงก็เป็นผู้ที่รู้จักไขว่คว้าและรู้จักปล่อยวาง ไม่เช่นนั้นเมื่อครั้งที่เจิ้งลี่ส่งคนไปจับนางที่หมู่บ้านเค่าซาน นางคงไม่ตามคนพวกนั้นไปด้วยความสมัครใจ อีกทั้งเมื่อคืนนางได้พูดคุยเปิดอกกับหลูซื่อ และมีมารดาบุญธรรมกับน้องสาวคนใหม่แล้ว ไม่ว่าในใจจะทุกข์ระทมเท่าไหร่ ใบหน้ากลับฉายแววสดใสเบิกบาน
ตอนหลูซื่อคลี่ยิ้มจะกล่าวตอบนาง อี๋อวี้หายงัวเงียแล้ว ไหนเลยจะยอมให้พวกนางหัวเราะเยาะตนเอง เด็กหญิงยื่นนิ้วชี้ป้อมๆ ไปเขี่ยข้างแก้มแดงระเรื่อของหลิวเซียงเซียงพลางกล่าว “โอ๊ะ ตอนนี้พี่เซียงเซียงยิ้มออกแล้ว เมื่อคืนนี้ไม่รู้ว่าใครกันนะที่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลใหญ่เลย”
พอถูกอี๋อวี้สัพยอก หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงทำหน้าเก้อกระดากไปตามๆ กัน เมื่อคืนพวกนางตื้นตันใจขึ้นมาชั่วขณะจนแสดงกิริยาไม่เข้าท่าไปบ้างจริงๆ ทำให้เด็กน้อยเห็นเป็นเรื่องขบขัน อย่างไรหลิวเซียงเซียงเคยเป็นสาวใช้ห้องข้างของเจิ้งลี่มานานสามสี่ปี แม้ยังเป็นคนอารมณ์เย็นดุจเก่า แต่กิริยาวาจากลับไม่เก็บงำสำรวมอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้นางหน้าแดงน้อยๆ ขณะเอ็ดใส่อีกฝ่ายยิ้มๆ “เจ้าเด็กคนนี้ปากคมปากกล้านัก พูดว่าเจ้าดีก็ไม่ได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ อีกหน่อยข้าไม่ชมเจ้าอีกแล้ว”
หลูซื่อมองดูพวกนางลับฝีปากกันด้วยรอยยิ้มละไม เพียงรู้สึกว่าเมฆดำที่เหนือศีรษะมาหลายวันนี้สลายหายไปแล้ว จิตใจปลอดโปร่งอย่างหาได้ยาก นางหมุนกายไปเก็บเสื้อผ้าที่ผลัดเปลี่ยนออกมา และจัดสัมภาระที่รื้อค้นจนยุ่งเหยิงเมื่อครู่นี้จนเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ จากด้านนอก
“ฮูหยิน ตื่นหรือยังขอรับ”
หลูซื่อได้ยินเสียงของอาเซิงก็กุลีกุจอไปเปิดประตู พอเหลือบตาขึ้นเห็นเขายืนยิ้มยิงฟันอยู่ตรงหน้าประตู นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวตอบ “พวกข้าเก็บของเสร็จหมดแล้ว พวกเราจะออกเดินทางประเดี๋ยวนี้เลยใช่หรือไม่”
อาเซิงฉีกมุมปากกว้างยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ข้าวของวางไว้ในห้องก่อนเถอะขอรับ พวกเราลงไปข้างล่างกินอาหารมื้อเช้ากันแล้วค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”
หลูซื่อพยักหน้า “ตกลง พวกข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วก็ตวัดสายตามองไรฟันขาววาววับจนแยงตาอยู่บ้างของเขา ลอบรำพึงกับตนเองว่าเช้านี้อีกฝ่ายอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ เพราะเก็บเงินได้หรืออย่างไร
อี๋อวี้เดินก้าวสั้นๆ ตามหลังหลูซื่อลงไปข้างล่าง เมื่อเหยียบลงบนบันไดขั้นสุดท้าย นางหมุนกายสาวเท้าตรงไปอีกสองก้าว ช้อนตาขึ้นมองเห็นนายบ่าวสองคนนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวเตี้ยกลางโถงร้านห่างจากนางไปห้าก้าว อาเซิงยังสวมชุดขาวอมเทาเฉกเดียวกับเมื่อวาน หากแต่คนที่กำลังหมุนคลึงถ้วยชาก้นตื้นใบหนึ่งเล่นๆ อยู่ด้านข้างเขาคนนั้น ทำให้ดวงตาของอี๋อวี้ที่มองกวาดไปเกือบต้องพร่าลาย
ใบหน้านั้นย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง อันที่จริงมิได้อันใดผิดแผกจากเดิม ยังเรียบเฉยงามสง่าทว่าเค้าความหัวรั้นที่สะดุดใจอี๋อวี้อย่างลึกล้ำนั่นกลับอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย เปลือกตายังหลุบลงปิดดวงตาทั้งคู่ไว้ แต่ไม่เห็นรอยสีเขียวจางๆ ใต้ขอบตาแล้ว กลับทำให้เห็นแพขนตาดกหนาที่ขยับเบาๆ เด่นชัดขึ้นยามก้มศีรษะลง ชุดสีน้ำเงินสดบนตัวยังขับเน้นให้จมูกโด่งงุ้มเล็กน้อยดูอ่อนละมุนลง ส่วนเรียวปากที่บางเฉียบถูกเคลือบด้วยคราบน้ำที่ดื่มเข้าไปจนแลดูชุ่มชื้นจนงามจับตาขึ้นหลายส่วน
วันนี้เขาแค่เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่าง อี๋อวี้อยู่มาสองภพสองชาติแล้ว ยังไม่เคยพบเจอใครที่สวมชุดสีน้ำเงินได้ชวนมองถึงเพียงนี้
เสื้อคลุมตัวยาวผ่าหน้าทำจากผ้าไหมสีน้ำเงินสดตัดเย็บให้เข้ารูปพอดีตัว สาบเสื้อและชายแขนเสื้อสอบขลิบริมด้วยผ้าแพรสีน้ำเงินเข้มกว่าปักลายเมฆาเหินสีน้ำเงินแก่ ตรงนิ้วโป้งของฝ่ามือเรียบเนียนข้างที่กำลังหมุนถ้วยชาเล่นข้างนั้นสวมแหวนฝังไพลิน มิใช่ปลอกหยกเขียวมรกตดุจเดียวกับเมื่อวาน เส้นผมดำสนิททั้งศีรษะถูกรวบขึ้นเป็นมวยบนกระหม่อม ครอบตรึงไว้ด้วยเกี้ยวเงินฝังไข่มุกสองเม็ดกับหยกเขียวเม็ดเดี่ยวกว้างสามองคุลี และเสียบปิ่นหยกขาวหัวลายดอกบัวตรงกลาง
หนุ่มน้อยผู้นั้นอยู่ในท่วงท่าเคร่งขรึม ตัวตรงสำรวมกิริยาเป็นนิจดังเดิม เขาแค่นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองพื้นเหนือเสื่อสานอย่างเรียบร้อย ทั่วสรรพางค์กายก็แผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ออกมาจางๆ ประหนึ่งรูปปั้นหินหยกสีน้ำเงินขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง เปล่งรัศมีงามสง่าจนไม่อาจลบหลู่ล่วงเกินได้