เมืองหลวงฉางอันแบ่งเป็นฟากตะวันออกกับฟากตะวันตกโดยมีถนนจูเชวี่ยคั่นอยู่ตรงกลาง ฟากตะวันออกขึ้นอยู่กับอำเภอฉางอัน ครอบคลุมพื้นที่ห้าสิบห้าฟาง ฟากตะวันตกขึ้นอยู่กับอำเภอวั่นเหนียน ครอบคลุมพื้นที่ห้าสิบสามฟาง เมื่อตัดย่านการค้าขนาดใหญ่ของแต่ละฟากออก ย่านอื่นๆ ล้วนมีอาณาบริเวณใกล้เคียงกัน ประกอบด้วยบ้านช่องเรือนชานและวัดวาอารามต่างๆ บ้างมากนับหลายร้อย บ้างน้อยแค่ไม่กี่สิบ
ทุกย่านจะก่อกำแพงรอบล้อมอาณาเขตสี่ด้าน มีทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตก ย่านเรือนอาศัยห้ามออกนอกเคหสถานยามไฮ่ ส่วนย่านร้านค้าของทั้งสองฟากห้ามออกนอกเคหสถานยามซวี
หลังจากรถม้าแล่นเข้าเมืองแล้ว ได้ยินเสียงร้องถามของอาเซิงดังลอยมาจากข้างนอก “ฮูหยิน ได้ยินพ่อบ้านหลี่บอกว่าท่านต้องการไปสืบถามที่พักของบุตรชายที่วัดติ้งสุ่ย คุณชายกำชับไว้ให้ข้าพาพวกท่านไปส่งก่อนขอรับ”
สองสามวันที่แล้ว หลูซื่อถามจากพ่อบ้านหลี่ได้ความว่าสามารถไปถามไถ่ที่ตั้งเรือนพำนักของบัณฑิตได้ที่วัดติ้งสุ่ยในไท่ผิงฟาง นางเลยตัดสินใจไปสืบดูที่นั่นก่อน ครั้นได้ยินอาเซิงกล่าวเช่นนี้ นางชั่งใจนิดเดียวก็ตอบตกลง
เสียงผู้คนนอกรถดังขึ้นทุกทีๆ อี๋อวี้เลิกมุมหนึ่งของม่านขึ้นมองไปด้านนอกด้วยความสนอกสนใจ รถม้ากำลังแล่นอยู่กลางถนนด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แนวกำแพงย่านชุมชนสีดำแกมน้ำตาลสูงหนึ่งจั้งทอดตัวขนานไปกับถนน ตรงริมกำแพงผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน มีคนสวมชุดหรูหราขี่ม้าผ่านไป และคนเร่ขายของอยู่ข้างทางประปรายปะปนกัน ยังสามารถเห็นยอดเรือนตึกหนึ่งหรือสองหลังโผล่ขึ้นมาได้เป็นพักๆ
พอแล่นไปข้างหน้าสิบกว่าจั้ง เห็นทางเข้าย่านชุมชนที่กว้างพอให้คนเดินผ่านได้หกเจ็ดคน ป้ายศิลาเขียวที่แขวนอยู่ตรงกลางเหนือช่องประตูสลักคำว่า ‘ต้าอัน’ เมื่อชายตามองผ่านเข้าไปไวๆ เห็นฝูงชนขวักไขว่ไปมาตามถนนหนทางและตรอกซอกซอยแยกย่อยมากมาย
หลูซื่อเห็นดวงตาบุตรสาวทอแววอยากรู้อยากเห็น ได้แต่ยิ้มฝืดๆ ไม่กล่าวอะไรมาก อี๋อวี้จับสังเกตได้แต่แรกแล้วว่าหลังจากเข้าเมือง สีหน้าของมารดาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างกายที่อยู่ชิดกับตนเองก็แข็งเกร็งไปบ้าง นางเดาบางอย่างออกได้เลาๆ จึงสะกดความรู้สึกอยากชมความครึกครื้นไว้แล้วดึงม่านลงปิด
ราวหนึ่งเค่อต่อมา รถม้าค่อยๆ ชะลอลงแล้วจอดนิ่ง
“ฮูหยิน” อาเซิงตะโกนเรียกอยู่ด้านนอก ก่อนจะเปิดม่านกั้นออก เอ่ยกับหลูซื่ออย่างยิ้มแย้ม “ถึงแล้วขอรับ”
หลูซื่ออุ้มอี๋อวี้ลงจากรถม้า หมุนกายไปเห็นอาเซิงชี้ไปที่ประตูย่านชุมชนสองบานที่เปิดอ้ากว้างตรงถนนตะวันออกสายหนึ่งพลางบอก “เข้าไปแล้วเดินตรงไป หลังที่สองทางฝั่งซ้ายก็คือวัดติ้งสุ่ย ข้าจะรอพวกท่านที่ประตูอันฮว่าตอนพลบค่ำยามโหย่ว* หากจำทางไม่ได้ ถามจากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เลยขอรับ”
หลูซื่อพยักหน้าขอบคุณ ยังกล่าวอำลากับคุณชายฉางบนรถม้าที่ไม่พูดจาสักคำ จากนั้นจับจูงมือน้อยๆ ของบุตรสาวเดินเข้าสู่ไท่ผิงฟาง
ทั้งคู่สืบรู้เบาะแสของหลูจื้อได้ที่วัดติ้งสุ่ยอย่างราบรื่น เมื่อคิดถึงว่าจวนเจียนจะได้พบหน้าหลูจื้อกับหลูจวิ้นที่จากกันนานสองเดือน บันดาลให้พวกนางต่างปีติยินดีเต็มอก
หลูซื่อถามทางไปตลอดทางจนถึงวัดหงฝู นางก้าวเข้าสู่ภายในวัดที่เงียบสงบรื่นรมย์ และเดินไปหาเณรตัวน้อยรูปหนึ่งที่กวาดพื้นอยู่ ไต่ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ซือฟู่ น้อย ข้าอยากถามถึงคนผู้หนึ่งจะได้หรือไม่”
เห็นเณรน้อยหน้ากลมตอบตกลง นางก็เอ่ยต่อ “บัณฑิตที่จะสอบเข้ารับราชการที่มาอาศัยอยู่ในห้องพักแขกเรือนหลังของพวกท่านมีคนหนึ่งนามว่าหลูจื้อ ข้าเป็นมารดาของเขา ท่านสะดวกจะพาข้าไปพบเขาได้หรือไม่”
เณรน้อยหน้ากลมได้ยินที่นางพูดแล้วเงยหน้านิ่งคิดครู่หนึ่ง ถึงกล่าวตอบด้วยสีหน้าแปลกพิกล “มีคนชื่อว่าหลูจื้อจริงๆ เขายังพาพี่น้องมาด้วยใช่หรือไม่”
หลูซื่อรีบพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กลับเห็นเณรรูปนั้นมองตนเองแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจ นางนึกฉงนอยู่ในใจ ก็ได้ยินเขาพูดขึ้น “พวกเขาจากไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว ได้ยินว่าไม่ได้รับสารเสนอชื่อ…สีกา ท่านเป็นอะไรไปหรือ” เณรรูปนั้นยังกล่าวไม่จบ พบว่าหลูซื่อหน้าถอดสีไปทันใด เขาอดส่งเสียงถามไถ่ไม่ได้
หลูซื่อฝืนข่มความร้อนรุ่มใจไว้ ปั้นยิ้มเฝื่อนๆ ออกมา “ซือฟู่น้อย ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด” ในใจกลับวาดหวังว่าสองพี่น้องยังรั้งอยู่ในเมืองฉางอัน
เณรน้อยตอบอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “คงกลับบ้านไปแล้วกระมัง”
หลูซื่อฟังเขากล่าวจบ หัวสมองเริ่มอึงอลสับสน รู้สึกเพียงว่าความหวังสุดท้ายพลอยดับวูบไปด้วย ร่างของนางซวนเซไป