ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 15
เมื่อเข้าสู่อู้เปิ่นฟางอันเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาหลวง จี้เต๋อพาหลูซื่อกับอี๋อวี้เดินลัดเลาะไปถึงประตูหลังของเรือนพักศิษย์อย่างคุ้นเคยที่ทาง ด้วยที่นี่ตั้งกฎระเบียบไว้ พวกนางจำต้องรออยู่ด้านนอกรอเขาเข้าไปเรียกคนให้
หลูซื่อย่ำเท้าวนไปวนมาอยู่บนแท่นบันไดหินหน้าประตูอย่างกระวนกระวายใจอยู่บ้าง นางมองผ่านประตูที่อ้ากว้างเข้าไปด้านในเป็นระยะ เห็นแต่ต้นไม้ดอกไม้ในลานเท่านั้น
อี๋อวี้มิได้ร้อนรนทนไม่ไหวมากเท่ามารดา เพียงมองสำรวจไปรอบด้านอย่างเงียบๆ นางเพิ่งร้องชมในใจว่ากระทั่งประตูหลังยังประดับประดาอย่างโอ่อ่าเพียงนี้ ก็เห็นเด็กหนุ่มสามคนในชุดเสื้อคลุมยาวสีม่วงอ่อน สวมเกี้ยวครอบมวยทำด้วยผ้าโปร่งสีดำบนศีรษะแบบเดียวกันก้าวออกมาจากลาน
หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มแก้มตอบเล็กน้อย ห้อยหยกแดงงามประณีตอยู่ตรงเอว เขาปรายตามองพวกนางแวบหนึ่งแล้วแค่นหัวเราะ พูดกับอีกสองคนข้างกาย “เห็นหรือยัง นี่เป็นญาติพี่น้องยากจนของเจ้ายาจกคนใดอีกก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มท่าทางเหมือนลูกไล่สองคนเบนสายตามาจับที่ตัวพวกหลูซื่อ จากนั้นเออออคล้อยตามตามเขาด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
พวกเขามิได้ลดสุ้มเสียงลง หลูซื่อกับอี๋อวี้จึงได้ยินชัดถนัดถนี่ คนหนึ่งกัดฟันกรอดๆ คนหนึ่งมองพวกเขานิ่งๆ
เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวจบแล้วเดินไปข้างหน้าหลายก้าว ชำเลืองเห็นหน้าของอี๋อวี้ทางหางตาก็ส่งเสียงแค่นฮึเบาๆ เขาหมุนกายเดินนำหน้าลูกไล่สองคนเข้ามาหา หยุดยืนห่างจากพวกนางสองก้าว เหยียดมือชี้นิ้วไปที่อี๋อวี้ และพูดเสียงสูงกับคนด้านหลัง “พวกเจ้าดูสิ แววตาของเด็กคนนี้คล้ายคนผู้หนึ่งหรือไม่”
นิ้วมือที่ยื่นมาห่างจากปลายจมูกอี๋อวี้แค่สองชุ่น หลูซื่อกระชับมือข้างที่จับจูงบุตรสาวเข้าหากันแน่น ก้าวถอยหลังหลบหลีกนิ้วมือนิ้วนั้น นางต้องใช้แรงใจมหาศาลถึงสะกดอารมณ์ชั่วแล่นอยากเข้าไปตบหน้าเขาไว้แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าให้เกียรติกันบ้างนะ”
ได้ยินคำพูดของนาง เด็กหนุ่มผู้นั้นหลุดเสียงหัวเราะพรืดหนึ่งทันทีก่อนจะหัวร่องอหายยกใหญ่ เขาหัวเราะไปชี้หน้าหลูซื่อพูดเสียงดังไป “ได้ยินไหม บอกให้ข้าให้เกียรตินางบ้าง ฮ่าๆ เรียกให้คุณชายอย่างข้าให้เกียรติคนชั้นต่ำพวกนี้…ฮ่าๆ”
ลูกไล่สองคนขยับมาอยู่ด้านข้าง ช่วยหัวเราะเยาะตามไปด้วย
อี๋อวี้เอียงหน้าหนีน้ำลายที่กระเด็นมาตอนเขาพูด หันไปบอกกับมารดาพลางชี้ที่หน้าตนเอง “ท่านแม่เช็ดให้หน่อย น้ำลายกระเด็นเป็นฝอยๆ มาโดนหน้าข้า เหม็นมากเลยเจ้าค่ะ”
เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มที่ห้อยหยกแดงตรงหน้าหยุดกึก เขายื่นสองมือผลักลูกไล่สองคนที่อ้าปากหัวเราะขบขันอยู่ออกไปเต็มแรง ย่างสามขุมเข้าไปหาสองแม่ลูก คว้าหมับที่แขนซ้ายของอี๋อวี้แล้วฉุดตัวนางมาที่เบื้องหน้าโดยที่หลูซื่อไม่ทันตั้งตัว เขาถลึงดวงตาที่เบิกจนกว้างแล้วยังดูไม่ใหญ่นัก พูดเสียงลอดไรฟัน “เจ้าว่าใครปากเหม็น”
“เจ้าจะทำอะไร!” ไม่รออี๋อวี้พูดตอบ หลูซื่อตะคอกเสียงดุ ยื่นมือดึงบุตรสาวกลับมาที่ข้างกายอย่างว่องไว
ใบหน้าของเด็กหนุ่มยิ่งบูดบึ้งขึ้น เขาหันหน้าไปสบถเสียงต่ำด่าอีกสองคนที่ถูกเขาผลักออกไป “เจ้าโง่ มัวยืนทื่ออยู่ทำไม! ยังไม่เข้าไปลากนางเด็กตัวเหม็นนั่นมาให้ข้าอีก”
อี๋อวี้ลอบนึกเสียใจที่เมื่อครู่นี้เหตุใดตนเองต้องพูดเพื่อความสาแก่ใจชั่วครู่ชั่วยามนั่นด้วย สองคนนั้นก็รุมเข้ามาพร้อมยื่นมือตั้งท่าจะจับคน นางได้ยินเสียงไอเบาๆ คละเคล้าเสียงพูดแหบแห้งลอยแว่วมา “แค่กๆ จ่างซุนจื่อ แค่กๆ พวกเจ้ารังแกคนอีกแล้วหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเขาหยุดชะงักไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ และเดินไปอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนมีนามว่า ‘จ่างซุนจื่อ’ อย่างลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง
อี๋อวี้ฉวยจังหวะหลูซื่อคลายมือออกเล็กน้อยชะโงกหัวออกมา เอียงคอมองเห็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูง อายุสิบห้าสิบหกปี เดินเยื้องย่างออกจากมาจากประตู เสื้อคลุมยาวสีม่วงอ่อนที่สวมอยู่บนร่างยิ่งทำให้เขาดูผอมบางขึ้น เขายกมือหนึ่งปิดปากไอเบาๆ ดวงหน้าหมดจดขาวเซียวๆ แฝงเค้าอมโรค
จ่างซุนจื่อหน้าเปลี่ยนสีไปยามแลเห็นผู้ที่มาถึง เขาแค่นเสียงฮึแล้วกล่าว “ตู้รั่วจิ่น เจ้าคนขี้โรค ยังไม่หายดีก็วิ่งโร่ออกมายุ่งไม่เข้าเรื่อง ประเดี๋ยวเป็นลมไปข้าไม่ส่งเจ้ากลับไปหรอกนะ”
เด็กหนุ่มนามว่าตู้รั่วจิ่นได้ยินถ้อยคำนี้กลับไม่ขุ่นใจ เขาลดมือที่กุมปากไว้ลง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “แค่กๆ ถ้าเจ้ารู้ว่าใต้เท้าจ่างซุนหาตัวเจ้าอยู่ที่เรือนหน้า แค่ก…เวลานี้กำลังเดินมาที่ประตูหลัง เกรงว่าเจ้ายังต้องขอบคุณข้าที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
จ่างซุ่นจื่อทำท่าลนลานขึ้นมาทันใด ไม่หลงเหลือความหยิ่งยโสตอนวางอำนาจข่มเหงผู้ด้อยกว่าเมื่อครู่นี้แม้สักกระผีก เขาหมุนกายมาถลึงตาใส่พวกอี๋อวี้แล้วพาลูกไล่ทั้งสองวิ่งลิ่วๆ หายลับไปไม่เห็นเงา
หลูซื่อจูงอี๋อวี้เดินเข้าไป กล่าวเสียงเบาๆ ขอบคุณเด็กหนุ่มอ่อนแออมโรคที่ยังปิดปากไอเบาๆ เขายกมือขวาโบกไปมายิ้มๆ จากนั้นเดินห่างไปไกลพร้อมเสียงไอตลอดทาง
ขณะที่อี๋อวี้ชายตามองแผ่นหลังเขาพลางครุ่นคิดในใจ พลันได้ยินเสียงคนร้องเรียกด้านหลัง
“ท่านแม่! เสี่ยวอวี้!”
นางหันไปมองเห็นร่างคนสองคนในชุดเทากับชุดขาววิ่งทะยานตามหลังกันจากหน้าประตูตรงเข้ามาหาพวกนาง ยามที่เพิ่งเห็นหน้าชัดว่าเป็นหลูจวิ้น ก็สัมผัสถึงพละกำลังระลอกหนึ่งพุ่งมาที่ใต้รักแร้ยกร่างนางลอยสูงขึ้นจากพื้นแล้ว
“เสี่ยวอวี้ คิดถึงพี่รองหรือไม่” อี๋อวี้ถูกหลูจวิ้นอุ้มตัวชูขึ้นหมุนกลางอากาศ นอกจากเวียนหัวแล้วไม่อาจรับรู้สิ่งอื่นใดอีก ไหนเลยจะได้ยินชัดเจนว่าเขาพูดอะไรบ้าง แต่พอเห็นใบหน้าที่ยื่นเข้าใกล้กะทันหันอีก นางเอาฝ่ามือแปะบนหน้าผากพี่ชายแล้วผลักออกไป ทางหนึ่งร้องบอกให้เขาวางนางลง ทางหนึ่งลอบเคืองตนเองที่เมื่อครู่นี้ทำไมไม่ยืนอยู่ข้างหลังมารดา
“ท่านแม่” หลูจื้อยังควบคุมตนเองได้ดี แม้เขามีสีหน้าตื่นเต้นดุจเดียวกัน กลับมิได้แสดงกิริยาอาการออกนอกหน้าเกินไป
ขอบตาของหลูซื่อแดงระเรื่อ นางขานรับซ้ำๆ ติดกันหลายคำแล้วจับแขนของหลูจื้อ ลูบหัวลูบหลังเขา ประเดี๋ยวพูดว่าเขาซูบผอมลง ประเดี๋ยวพูดว่าเขาตัวสูงขึ้น
ทางนี้ชาวสกุลหลูได้มาพบกันหลังแยกจากกันไกลพันลี้เป็นภาพที่ซาบซึ้งตราตรึงใจดุจฉากหนึ่งในละคร อีกฟากหนึ่งก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งมาจากประตูหลังของเรือนพักแต่ไกล เขาหยุดหายใจหอบแฮกๆ อยู่ด้านหลัง กล่าวเสียงกระหืดกระหอบ “จะ…เจ้าสองคน…เหตุใด…ต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ด้วย…”
ผู้มาถึงคือจี้เต๋อที่พาหลูซื่อมาหาบุตรชายนั่นเอง หลูจื้อเห็นท่าทางของเขาแล้ว เดินทำหน้าขอลุแก่โทษเข้าไปช่วยลูบหลังให้เขาหายใจสะดวกขึ้นพลางพูดเสียงต่ำ “พี่จี้ เมื่อครู่นี้ฉุกละหุก ไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณท่าน ข้าขอขมาท่านไว้ตรงนี้ และขอบคุณที่ท่านพาท่านแม่กับน้องสาวข้ามาที่นี่”
หลูซื่อเองก็พาอี๋อวี้ก้าวเข้าไปขอบคุณเขาอีกครั้ง
จี้เต๋อผ่อนลมหายใจเป็นปกติแล้วส่ายหน้าเป็นพัลวันพร้อมพูดว่า “ไม่เป็นไร” เขาออกตัวว่ายังมีธุระ และกล่าวล่ำลาแยกจากไป
พอเขาไปแล้ว ชาวสกุลหลูทั้งสี่จึงพากันไปนั่งในห้องส่วนตัวของร้านน้ำชาเงียบสงบแห่งหนึ่งในละแวกใกล้ๆ