สภาพบ้านช่องที่โกโรโกโสของครอบครัวชาวนาหาได้ทำให้อี๋อวี้รู้สึกผิดหวังไม่ หากนางข้ามภพกลับมาอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง ไม่แน่ว่ายังต้องผจญกับการชิงดีชิงเด่น คงไม่สงบเป็นสุขเทียบเท่าเป็นชาวบ้านสามัญชน ตอนนี้ความเป็นอยู่ไม่ดีมิใช่เรื่องสำคัญ ภายภาคหน้าก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง สำหรับคนที่มาจากอนาคต เรื่องที่ไม่คุ้นเคยมากที่สุดคือขาดเครื่องใช้ไฟฟ้ากับสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน แต่มันกลับเผยให้เห็นถึงจิตใจที่เข้มแข็งอดทนของอี๋อวี้ได้อย่างชัดเจน ในความคิดของนาง จะขนมปังหรือนมก็ดี สักวันหนึ่งต้องมีแน่ แค่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
พวกเขากินไปคุยไปเรื่อยๆ ตอนหลังอี๋อวี้อยากลงมือกินเอง หลูซื่อก็ไม่ทักท้วง หยิบตะเกียบอีกคู่หนึ่งมาสอนวิธีจับให้นางอย่างช้าๆ นางแสร้งทำท่าหัดใช้ครู่หนึ่งแล้วคีบกับข้าวคำหนึ่งอย่างเก้ๆ กังๆ หลูซื่อซึ่งยังอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนดังเก่าตื่นเต้นดีใจเป็นการใหญ่ ปล่อยให้เด็กน้อยปลุกปล้ำกับตะเกียบตามสบาย คนทั้งสามยังอุทานชมไม่ขาดปากเพราะเหตุนี้ ถึงใบหน้าของอี๋อวี้จะเผยรอยยิ้มกว้าง แต่อดลอบคับใจไม่ได้ว่านางมีอายุตั้งยี่สิบแล้วแค่ใช้ตะเกียบยังต้องมีคนคอยให้กำลังใจตั้งหลายคนแบบนี้อีก
กินอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ หลูซื่อกล่อมนางนอนกลางวัน อี๋อวี้ง่วงงุนจนตาแทบปิดอยู่แล้วหลับไปจนถึงหัวค่ำก็ยังไม่ตื่น อาหารเย็นเป็นหลูซื่ออุ้มนางไว้แล้วป้อนให้กินทีละคำ นางก็เคี้ยวหมุบๆ หมับๆ ไป พอถูกชำระกายจนสะอาดสะอ้านถึงกลับเข้าไปซุกอยู่ใต้ผ้าห่มอีกครา
อี๋อวี้หลับรวดเดียวจนตื่นขึ้นตอนเที่ยงตรงวันถัดไป นางลืมตาสะลึมสะลือมองเห็นขื่อไม้เหนือศีรษะเป็นสิ่งแรก มีเสียงกระซิบกระท่อนกระแท่นของสตรีกับเด็กดังแว่วอยู่ริมหู นางถึงรู้ว่าตนเองมิได้ฝันไป หากแต่เดินทางข้ามเวลามาเป็นเด็กหญิงลูกสาวชาวนาในยุคราชวงศ์ถังจริงๆ ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้นางมีญาติพี่น้องแล้ว
นางสูดหายใจเฮือกหนึ่งแรงๆ เพื่อสะกดความเต็มตื้นไว้ ก่อนจะลุกจากเตียงไม้กระดานที่ค่อนข้างแข็งขึ้นมานั่ง กระแอมไอให้คอโล่งแล้วตะโกนเรียก “ท่านแม่!”
ชั่วพริบตาเดียว หลูซื่อก็วิ่งเข้ามาจากลานด้านนอกพร้อมร่างเล็กๆ ตามหลังมาเหมือนหางสองอัน อี๋อวี้กวาดสายตามองพวกเขาไล่ไปทีละคน จากนั้นผลิยิ้มเจิดจ้าออกมา
“เสี่ยวอวี้ตื่นแล้วหรือ ท่านแม่ไม่ให้ข้าปลุกเจ้า” หลูจวิ้นทำปากยื่นวิ่งไปนั่งที่ข้างเตียง กล่าวตัดพ้อกับนางอย่างคับข้องหมองใจเล็กน้อย
อี๋อวี้ยิ้มขันๆ มองเขาพร้อมเรียกขานเสียงอ่อนหวาน “พี่รอง” ทำให้หลูจวิ้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทันใด นางยังหันไปส่งเสียงเรียกหลูจื้อว่า “พี่ใหญ่” หางตาชำเลืองเห็นเขาทำหน้าแดงเรื่อๆ
“เอาล่ะ ดูแลน้องเล็กให้เรียบร้อยนะ แม่จะไปอุ่นกับข้าว” ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือไม่ อี๋อวี้คลับคล้ายได้ยินเสียงของหลูซื่อเจือรอยสะอื้นจางๆ ทั้งที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกินอาหารกลางวันแล้ว หลูซื่อพาลูกๆ สามคนไปนั่งรับแดดตรงแท่นหินขนาดใหญ่ในลานเรือน นางยังทำงานฝีมือชิ้นหนึ่งในมือไปด้วย
อี๋อวี้ส่งยิ้มละไมกับหลูจวิ้นที่เย้าหยอกนางอยู่ด้านข้าง พลางสังเกตดูงานฝีมือของมารดา เห็นอีกฝ่ายมือหนึ่งจับสะดึงปักผ้าไว้อย่างมั่นคง มือหนึ่งถือเข็มร้อยด้ายแทงผ่านผ้ากลับไปกลับมา อี๋อวี้มองดูด้วยความสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่าหลูซื่อปักผ้าได้ แต่ได้เห็นคนโบราณเย็บปักถักร้อยกับตาเป็นครั้งแรก ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรต่างจากการปักผ้าในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้นางขยับเข้าไปใกล้ๆ หลูซื่อ
ผืนผ้าขนาดราวผ้าเช็ดหน้าซึ่งถูกขึงไว้กับสะดึงดูคล้ายๆ ผ้าไหม ไม่เหมือนผ้าเนื้อหยาบที่พวกนางสวมอยู่บนตัว บนนั้นเพิ่งเริ่มต้นปักลาย มีแค่จุดสีเขียวสดเล็กๆ เท่านั้น ทว่าขณะที่นิ้วของหลูซื่อพลิ้วตวัดขึ้นลง พาด้ายปักหลากสีสันหลายเส้นทะลุลอดผ่านผ้าเนื้อละเอียดสีขาวกลับไปกลับมา ชั่วครู่เดียวต่อมา มุมหนึ่งบนพื้นผ้าไหมขาวนวลที่ว่างเปล่าในทีแรกก็มีแมลงปอสีเขียวสดตัวหนึ่งเพิ่มขึ้น ปีกบางใสละม้ายกระพืออยู่เบาๆ ถึงด้ายปักมีสีไม่สม่ำเสมอเท่าปัจจุบัน แต่ทุกส่วนของแมลงปอตัวนี้ล้วนสมจริงสุดจะเปรียบ ละเอียดยิบเสียจนแยกแยะดวงตาของมันได้อย่างชัดเจน