ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม 5 ครั้งที่ 4
ขณะที่ตงฟางโย่วจะประกาศชื่อผู้ได้ที่สุดท้าย หลูจื้อเดินมายืนข้างน้องสาวนิ่งๆ เขาไม่ใคร่กังวลใจนัก อย่างไรนางชิงป้ายของศาสตร์การเขียนอักษรมาได้แล้ว ถึงเคราะห์ร้ายเป็นที่สุดท้ายในศาสตร์ดนตรีจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เรื่องนี้เขากับนางพูดคุยกันเข้าใจแล้ว ด้วยขอบเขตของหัวข้อการแข่งศาสตร์ดนตรีกว้างเกินไป เขาจึงไม่เคี่ยวเข็ญให้นางต้องรุดหน้าในศาสตร์แขนงนี้ในช่วงเวลานี้
“มีที่หนึ่งก็ย่อมมีที่สุดท้าย ในสี่สิบสี่คนของการประชันศาสตร์ดนตรีครั้งนี้ พวกข้าทั้งเก้าคนเห็นว่าผู้ได้ที่สุดท้ายคือสำนักซ่วนเสวีย…”
ได้ยินชื่อที่อาจารย์ใหญ่ขานออกมา เฉิงเสี่ยวเฟิ่งตบอกเบาๆ ทีหนึ่งทันควัน นางกล่าวอย่างรู้สึกโชคดี “ยังดีที่ไม่เป็นข้า”
ท่ามกลางเสียงสนทนาเอ็ดอึงรอบตัว หลูจื้อเบือนหน้าไปกล่าวทอดถอนใจกับอี๋อวี้ “มีคนที่ไม่ได้ความยิ่งกว่าเจ้าอีกจริงๆ หรือนี่”
นางระบายลมหายใจเฮือก รำพึงว่าเคราะห์ดีอยู่ในใจ แต่ปากยังพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ข้าก็มีโชคไม่เลวนะเจ้าคะ เมื่อคืนจู่ๆ เกิดแรงมุมานะขึ้นมา ดีดพิณอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็พอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง บางทีอาจเขียนทำนองได้มากกว่าเขาหนึ่งหรือสองเสียง”
ตอนอี๋อวี้กล่าวคำนี้ ดวงตามองไปทางจ่างซุนเสียน ดีที่นางเป็นคนความจำดี ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดีกว่าที่คาดไว้ล่วงหน้า…คุณหนูใหญ่สกุลจ่างซุนไม่ได้ที่หนึ่ง นางก็ไม่ได้ที่สุดท้าย!
ป้ายไม้สลักป้ายหนึ่งตกอยู่ในมืออี๋อวี้แล้ว การประชันศาสตร์เหลืออีกสี่แขนงคือยิงธนู เดินหมาก คำนวณ และจารีต เว้นแต่ว่านางโชคร้ายเป็นที่สุดท้ายในสองศาสตร์ ไม่เช่นนั้นหลังการแข่งขันจบลง ชื่อเสียงของนางในสำนักศึกษาหลวงจะเป็นที่ยอมรับอย่างแน่นอน เสียงเล่าลือติฉินนินทาในกาลก่อนพวกนั้นก็จะเงียบหายไปเองโดยปริยาย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่จ่างซุนเสียนไม่ต้องการเห็นอย่างชัดเจน
ดูจากสิ่งที่นางกระทำไว้ก่อนหน้า แม้อี๋อวี้จะพลิกสถานการณ์ในการประชันศาสตร์การเขียนอักษรได้ แต่ยังต้องมีอุปสรรครอนางอยู่ข้างหน้าเป็นแน่ คล้ายว่าสตรีผู้นี้เห็นนางเป็นเป้าธนู ไม่ยิงให้ถูกสักดอก อย่างไรก็ไม่สบายใจ
หลูจื้อดึงพู่กันที่อี๋อวี้กำไว้ในมือเป็นนานไปเสียบในกระบอกไม้ไผ่ แล้วหยิบถุงสะพายที่วางอยู่บนเสื่อยัดใส่มือนาง ตู้เหอเบียดแทรกกลุ่มคนเข้ามาหา เอ่ยเตือนสองพี่น้องตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะไปเรือนเขา
ด้วยเหตุนี้ หลังจากพาหลูซื่อไปส่งที่รถม้ากลับสู่กุยอี้ฟาง หลูจื้อกับอี๋อวี้ก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าของจวนสกุลตู้
ทั้งที่เป็นจวนมุขมนตรีดุจเดียวกัน แต่เทียบความโอ่อ่าสง่างามของจวนสกุลจ่างซุนแล้ว จวนสกุลตู้กลับดูเรียบง่ายกว่าไม่น้อย อี๋อวี้ก้าวผ่านประตูใหญ่ก็ลอบมองสำรวจห้องโถงและระเบียงยาวที่เดินผ่านมาตลอดทาง
เรือนของตู้รั่วจิ่นอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเรือนกลาง ตู้เหอนำทางพาพวกนางเดินตรงเข้าไปเลย เมื่อเห็นสีหน้าของพวกบ่าวไพร่ในจวน อี๋อวี้มองออกได้ว่าสองพี่น้องคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก
มาตรว่าจะเป็นฤดูที่มวลพฤกษาโรยราแต่อี๋อวี้ดูจากสภาพโดยรอบลานเรือนแล้วสามารถนึกภาพออกได้ว่าในอีกสามฤดูจะเป็นทิวทัศน์งดงามชั้นใด ความเป็นผู้มีอารมณ์สุนทรีย์ของตู้รั่วจิ่นเห็นประจักษ์ชัดได้จากทั้งตัวเขาและภาพวาดของเขา
ตู้เหอพาพวกนางไปนั่งที่โถงรับแขกแล้วกล่าวขึ้น “พี่ใหญ่ข้าต้องคิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะมาแน่ พวกท่านนั่งรอสักครู่ ข้าจะไปบอกให้เขารู้”
หัวคิ้วของอี๋อวี้ย่นเข้าหากันเล็กน้อย ตอนยังอยู่ที่หอจวินจื่อ นางก็รู้สึกแล้วว่าตนมาเยือนถึงจวนอย่างกะทันหันเช่นนี้ออกจะเสียมารยาทเกินไป หลูจื้อนั้นผูกไมตรีกับสกุลตู้ยังพอทำเนา เพราะติดหนี้บุญคุณตู้หรูฮุ่ยที่เกื้อหนุนส่งเสริมตน จะมาเยี่ยมไข้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่นี่มันเรื่องอะไรของนางถึงติดตามมาอย่างไม่รู้กาลเทศะ
หลูจื้อจับสีหน้าท่าทางที่ผิดปกติไปของน้องสาวได้ เขารับถ้วยน้ำชาจากคนรับใช้แล้วเอ่ยกับนาง “ไม่ต้องคิดมาก ใต้เท้าตู้มีบุญคุณต่อข้า ในเมื่อคุณชายรองเอ่ยว่าอาจารย์ตู้ไม่สบาย หนำซ้ำประจวบเหมาะที่การประชันศาสตร์วันนี้สิ้นสุดเร็ว แล้วจะไม่มาเยี่ยมได้อย่างไร วันหลังพวกเราค่อยถือของขวัญมาเยี่ยมเยียนอีกที”
สิ่งที่เขากล่าวก็ชอบด้วยเหตุผลดี อี๋อวี้ข่มความตะขิดตะขวงในใจไว้ เอ่ยพูดเสียงค่อย “เยี่ยมคารวะเป็นเรื่องสมควรดีอยู่ แต่อาหารกลางวันคงไม่ต้องกระมัง จะเป็นการรบกวนเกินไปนะเจ้าคะ”
นางจำได้ว่าตอนอยู่สำนักศึกษาตู้เหอเอ่ยว่าจะรั้งตัวพวกนางให้อยู่กินอาหารด้วยกัน
“อื้อ” หลูจื้อเพิ่งพยักหน้า ม่านกั้นประตูก็ถูกเปิดออก อี๋อวี้จึงหันหน้าไปมอง
เปรียบกับเมื่อคราวพบกันในห้องเรียนที่สำนักศึกษา ใบหน้าของตู้รั่วจิ่นยังหมดจดสง่างามดุจเดิมทว่าดูขาวซีดกว่าปกติอยู่สักหน่อย เขาสวมเสื้อแพรสีเทาอมชมพูคลุมเสื้อขนสัตว์เนื้อละเอียดแขนกว้างทับไว้ด้านนอก บนหน้าที่แฝงอาการป่วยรางๆ ประดับรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวล ยามเขาเยื้องย่างเข้าสู่ห้องราวกับนำพาความขาวสะอาดบริสุทธิ์ติดตัวมาด้วย
อี๋อวี้นิ่งงันชั่วอึดใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแสดงคารวะต่ออาจารย์ตามธรรมเนียม “อาจารย์ตู้”
หลูจื้อประสานมือคำนับ เรียกขานอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองกว่า “พี่ตู้”
“ตอนน้องรองบอกว่าพวกท่านมา ข้าประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ” ตู้รั่วจิ่นก้าวเท้าเอื่อยๆ ไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับอี๋อวี้ รอจนตู้เหอและหลูจื้อนั่งลง เขาเอ่ยกับอี๋อวี้ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้อง
“คุณหนูหลูไม่ต้องเกรงใจ ถ้าอยู่ในเรือนข้ายังต้องถือธรรมเนียมของสำนักศึกษา เช่นนั้นน้องรองมิต้องยืนอยู่ด้านข้างข้าทุกเวลาหรือไร ข้าก็เป็นอาจารย์ที่สอนเขาเหมือนกัน”
น้ำเสียงอ่อนโยนใจดีของเขาเจือไว้ด้วยบางอย่างที่ชวนให้ใจสงบ ความรู้สึกว่าตนเสียมารยาทต่อผู้อื่นและตะขิดตะขวงใจเมื่อครู่จางหายไปเกินครึ่งทันใด นางพยักหน้าแล้วนั่งลงอย่างว่านอนสอนง่าย
หลูจื้อไต่ถามอาการของตู้รั่วจิ่นก่อน ต่อจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยถึงการประชันศาสตร์ห้าสำนัก ตั้งแต่บทเพลงกลางสายฝนของหลูซูฉิงในวันแรกไปจนถึงหลูจื้อคว้าชัยในศาสตร์วาดภาพ หลังพูดถกกันถึงเหตุการณ์ที่พลิกผันไปมาในการแข่งเขียนอักษร ตู้รั่วจิ่นกล่าวเสียงนุ่มกับอี๋อวี้ซึ่งนิ่งเงียบนั่งฟังพวกบุรุษสนทนากันโดยตลอด
“ข้าฟังน้องรองเล่าเรื่องในวันนั้นแล้ว คุณหนูหลูต้องคับข้องหมองใจแล้วจริงๆ”
อี๋อวี้ได้ยินคำกล่าวนี้ของเขา สายตานางพลันนิ่งขึงไปทันที ตั้งแต่การประชันศาสตร์การเขียนอักษรจบลงจนบัดนี้ มีทั้งคนชมเชย เยินยอ สงสารเห็นใจ และลอบชิงชังนาง แต่ไม่มีใครเอ่ยคำนี้สักคน แล้วบังเอิญว่าจุดนี้ตรงกับความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ใต้ความนิ่งสงบของนางหลังการแข่งขันที่สุดพอดี
นางหันไปมองตู้รั่วจิ่น เห็นใบหน้าอมโรคเล็กน้อยของอีกฝ่ายแฝงรอยห่วงใยอยู่จริงแม้จะไม่ชัดเจน ในอกพลันอบอุ่น นางไม่รู้จะกล่าวตอบเขาเช่นไร ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ส่วนว่ามันจะหมายถึงนางไม่รู้สึกคับข้องหมองใจแล้ว หรือเป็นความหมายอื่น มีเพียงนางที่รู้แจ้งแก่ใจ
การสบตาชั่วเวลาสั้นๆ ของทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของหลูจื้อกับตู้เหอ คนหนึ่งลอบเม้มปาก คนหนึ่งมุ่นหัวคิ้วนิดหนึ่ง
ทั้งสี่คุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง หลูจื้อก็กล่าวลาด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการรบกวนการพักผ่อนของตู้รั่วจิ่น และบอกปัดคำเชิญชวนให้อยู่กินอาหารของตู้เหอ
สองพี่น้องสกุลตู้ลุกออกไปส่งพวกเขาถึงนอกประตูโถง หลูจื้อยื่นมือไปยุดบ่าเขาไว้ทีหนึ่ง “ท่านยังป่วยอยู่ ไม่ต้องไปส่งแล้ว”
ตู้เหอกล่าวหนุน “นั่นสิ พี่ใหญ่ ข้าไปส่งก็พอขอรับ”
ตู้รั่วจิ่นเลื่อนสายตาจากหน้าหลูจื้อไปยังหน้าอี๋อวี้ พลางดึงตรงไหล่เสื้อคลุมขนสัตว์เบาๆ “ตกลง พวกท่านค่อยๆ เดิน วันหลังค่อยพบกันใหม่”
หลูจื้อกับอี๋อวี้ขานรับ ตู้รั่วจิ่นยืนพิงข้างประตูมองดูพวกเขาก้าวออกจากลานเรือนไป ถึงโบกมือบอกให้บ่าวไพร่ไปทำงานของตนเอง เขาหมุนกายเดินเข้าไปในโถงรับแขกคนเดียว ยกแขนขวาขึ้นแบมือตรงหน้า มีกระดาษเล็กๆ ก้อนหนึ่งวางเด่นอยู่บนนั้น
นิ้วมือที่เห็นข้อกระดูกชัดคลี่ก้อนกระดาษแผ่ออกบนฝ่ามือ เห็นตัวอักษรเล็กๆ สองแถวสะดุดตาอยู่บนกระดาษยับย่น
สุ้มเสียงนุ่มกังวานดังขึ้นเนิบๆ “ข้าก็ว่าอยู่แล้ว ไฉนมาหาข้าเวลานี้”
ตอนตู้เหอออกไปส่งอี๋อวี้กับหลูจื้อที่หน้าประตูใหญ่ สารถีร่างกำยำนามหูซานส่งหลูซื่อกลับไปถึงกุยอี้ฟางและรุดมารอคอยอยู่ข้างหน้าจวนสกุลตู้ตั้งนานแล้ว
สองพี่น้องนั่งอยู่ในรถม้าที่ปราศจากคนนอก เป็นคราครั้งแรกที่มีโอกาสพูดคุยกันตามลำพังนับแต่การประชันศาสตร์การเขียนอักษรเมื่อวานซืน ทั้งสองปรึกษาหารือเรื่องราวในวันนั้นกันอย่างจริงจัง
“คนที่สาดน้ำหมึกใส่ข้านั่น ทั้งวาจาที่พูดและเรื่องที่กระทำ เห็นได้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน รวมถึงที่จู่ๆ เกาหยางมาปรากฏตัว จ่างซุนเสียนน่าจะเป็นผู้บงการ”
“เป็นนางอย่างไม่ต้องสงสัย” หลูจื้อพยักหน้าพลางเอ่ย
อี๋อวี้ปริปากเล่าความระแวงแคลงใจที่มีต่อจ่างซุนเสียนต่อ
“นางจ้องราวีข้าไม่รามือ หมายให้ข้าอับอายเสียชื่อให้จงได้เช่นนี้ การประชันศาสตร์ก็ผ่านไปเกินครึ่งทางแล้ว หลังจากนี้ยังมีอีกสี่แขนง นางต้องมีลูกไม้อื่นอีกเป็นแน่ เฮ้อ ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าขวางหูขวางตานางตรงไหน คิดดูแล้วครั้งแรกพบนางในงานเลี้ยงของเกาหยาง ต่อมาเข้าสู่สำนักศึกษาถึงได้พบปะวิสาสะกัน เดิมทีนึกว่านางต้องการเล่นงานข้ามีเหตุผลมาจากเกาหยาง แต่ผ่านมาระยะหนึ่ง ข้าจับนิสัยใจคอนางออกได้ไม่มากก็น้อย การที่นางวุ่นวายวางแผนเล่นงานข้า อย่างไรก็ไม่คล้ายเพื่อระบายโทสะแทนเกาหยางอย่างเดียว”
จ่างซุนเสียนผู้นี้โฉมงามอ่อนหวาน ภายนอกดูเป็นคนเฉยเมย แต่แท้จริงแล้วเป็นสตรีที่ยกตนว่ามีชื่อเสียงความสามารถและวงศ์ตระกูลดี ทั้งหยิ่งทะนงและถือยศถืออย่างยิ่ง เมื่อดูจากที่นางปฏิบัติต่อฉู่เสี่ยวซือประกอบกับคำพูดของเฉิงเสี่ยวเฟิ่งในหอหงเยวี่ยคราวก่อน ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาหลวงที่กระทำความผิดโดนลงโทษ มีสามในสิบคนที่เคยสนิทสนมกับนางมาก่อน บ่งบอกว่านางชอบหลอกใช้คนรอบข้างช่วยให้ตนบรรลุเป้าหมายเป็นพิเศษ เด็กหนุ่มซึ่งสาดน้ำหมึกครั้งนี้ก็คือตัวอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้า พอหมดประโยชน์ก็ถูกนางเขี่ยทิ้ง
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้…