อี๋อวี้ย่องกริบไปนั่งยองๆ อยู่ข้างคันนา จับจ้องพงหญ้าตาไม่กะพริบ จวบจนเห็นร่างสีเขียวอมเหลืองกระโดดผ่านแนวหญ้าหร็อมแหร็มไป พอเล็งเป้าได้ก็ใช้สองมือจับอย่างว่องไว จนปัญญาที่ตั๊กแตนตัวนี้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศเหลือหลาย มันยันขาเรียวเล็กสองข้างเบาๆ ทีเดียวก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่อุ้งมือสองข้างของนางจะตะครุบลงไป
นางหันหน้าไปมองหลูจื้อที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์เหลือหลายอย่างท้อใจ สูดลมหายใจลึกๆ สองเฮือกสะกดความหงุดหงิดในใจไว้ ก่อนจะนั่งแปะลงบนพงหญ้า เอนกายท่อนบนราบกับพื้น ทอดสายตามองดูผืนนภาเหนือศีรษะแล้วเริ่มใจลอย
ท้องฟ้าที่ไม่แปดเปื้อนมลพิษเป็นสีครามสดใสต่างไปจากสีน้ำเงินปนสีเหลืองเทาที่นางเคยเห็นเมื่อชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง ถ้ามิได้ประดับด้วยริ้วเมฆสองสามกลุ่มนั่น แทบจะทำให้นางอุปาทานไปว่ากำลังมองผืนทะเลอยู่ หลายวันนี้จิตใจนางไม่สงบเลย ดูเหมือนตั้งแต่ที่รู้ว่าเลือดของตนเองผิดแผกกับคนอื่นๆ นางก็เริ่มกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข นับจากวันที่พาฉิงคงกลับมา นางลองทดสอบดูหลายครั้งหลายหน ผลที่ออกมายืนยันไปในทางเดียวกันแล้วว่าเลือดของนางมีสรรพคุณดีกว่าปุ๋ยเร่งดอกเร่งผลจริงๆ
หลังจากหญ้าคาตรงมุมกำแพงในลานเรือนสองต้นได้ ‘ดื่ม’ เลือดที่ผสมน้ำให้เจือจางลงของนางก็โตพรวดๆ จนสูงครึ่งตัวคน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงต้นซานจาในป่าที่ภูเขาด้านหลังตอนนี้
เอาเป็นว่าเลือดหนึ่งหยดผสมน้ำชามหนึ่งจะมีฤทธิ์อ่อนลงเจ็ดส่วน แต่ต่อให้เหลือฤทธิ์แค่สามส่วน เอาไปรดตรงโคนต้นซานจาสิบกว่าต้น ยังทำให้พวกมันติดผลใหม่อีกครั้งได้ภายในสองวัน เห็นทีว่าเลือดที่เจือจางแล้วยังมีสรรพคุณอยู่ แค่ว่าความเร็วในการเติบโตของพืชชะลอลงเท่านั้น
เมื่อแรกที่หลูซื่อรู้ว่าต้นซานจาออกผลใหม่ก็ตกใจ แต่ตอนหลังทึกทักเอาว่าความผิดประหลาดนี้เกิดมาจากคุณสมบัติพิเศษของพืชชนิดนี้เอง ดังนั้นนอกจากอี๋อวี้แล้ว อีกสามคนที่เหลือต่างปีติยินดีอย่างยิ่ง
ถึงเวลานี้พวกเขาหยุดขายถังหูลู่มานานกว่าครึ่งเดือน แต่เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วนอยู่แล้ว เมื่อวานหลูซื่อจึงไปซื้อน้ำตาลที่ตลาดกลับมาสองโถอย่างร่าเริงเบิกบาน จากนั้นเริ่มกระบวนการทำขนมอีกครั้ง ยามเช้าตรู่ของวันนี้ นางพาหลูจวิ้นที่ไม่ต้องไปสำนักยุทธ์เดินทางไปที่ตัวตำบล คิดคำนวณดูแล้วผลซานจาพวกนั้นมีมากพอให้พวกเขาขายไปได้หลายวัน
เพราะเลือดของนางมีพลังพิเศษ จึงนับได้ว่านางค้นพบทางลัดสายหนึ่งซึ่งจะพาครอบครัวตนเองไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยได้ ตามหลักแล้วนางสมควรดีใจถึงจะถูก จนปัญญาที่คนเรามักช่างวิตกกังวล พอได้มาครอบครองแล้ว ก็หวาดหวั่นว่าจะสูญเสียมันไปเมื่อไร สองสามวันนี้นางตรึกตรองทบทวนไปมาแล้วคิดไม่ตกจริงๆ ว่าถ้าเกิดวันใดเลือดของนางหมดพลังนี้ไป จะมิใช่หลงดีใจเก้อหรือไร ยิ่งคาดหวังมากยิ่งผิดหวังมาก ฝันสูงเกินไป ยามหกล้มลงยิ่งลุกขึ้นได้ยาก ด้วยเหตุนี้เรื่องดีๆ ในตอนแรกก็กลายมาเป็นต้นตอความกลัดกลุ้มใจของนาง
“มอๆ” เสียงวัวร้องดังมากระทบโสตประสาทของเด็กหญิงที่จมอยู่ในภวังค์ความคิด ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ๆ อย่างเชื่องช้า เมื่อเสียงใบหญ้าเสียดสีกันดังขึ้นริมหู มีคนผู้หนึ่งเอนกายลงนอนที่ด้านขวา แหงนมองท้องฟ้ากว้างไพศาลด้วยกันกับนาง
ผ่านไปครู่ใหญ่ไม่เห็นอีกฝ่ายพูดอะไร อี๋อวี้นิ่งคิดแล้วเอ่ยปากขึ้นก่อน “พี่ใหญ่?”
หลูจื้อส่งเสียงตอบในลำคอคำหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับนางด้วยสุ้มเสียงใสกังวานเฉพาะตัวเด็กชาย “ข้าเห็นเจ้าจับแมลงอยู่พักใหญ่ยังจับไม่ได้สักตัว หวั่นใจว่าวันนี้ฉิงคงได้กินอาหารน้อยกว่าเมื่อวานนี้แล้ว”
อี๋อวี้ได้ยินคำพูดของเขาก็ลอบเบ้ปากแล้วเอ่ยตัดพ้อ “พี่ใหญ่พี่รองล้วนไม่ช่วยข้า ย่อมจับได้น้อยเป็นธรรมดา ฉิงคงกินไม่อิ่มก็โทษพวกพี่แล้ว” นานๆ ทีนางจะทำแง่งอนกับพี่ชาย เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลย