หลี่เสี่ยวเหมยปักผ้าอีกครู่หนึ่งก็เอาของกลับเรือนไปรายงานตัวกับมารดา อี๋อวี้เก็บของแล้วไปหอบฟืนในลาน เตรียมตัวจุดเตารอทำอาหาร ช่วงฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างแปรปรวน ตอนเช้าหนาวจนตัวสั่น แต่ตอนนี้พอนางเติมฟืนจุดไฟเพื่อต้มน้ำ ก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาทั่วหน้าผากเรียบเนียนแล้ว
อี๋อวี้ดูโตขึ้นกว่าเมื่อสามปีก่อน แม้นดวงหน้ายังกลมป้อมเหมือนผลผิงกั่ว* ทว่าเริ่มมีเค้าความงามสามส่วนแล้ว ต่างจากเด็กสาวในหมู่บ้านที่มีรูปหน้าไม่ค่อยสมส่วน หน้าตาของนางจิ้มลิ้มกว่ามาก แต่ทั้งไม่สวยเด่นทั้งไม่งามสง่า เพียงรวมความได้คำเดียวว่า ‘พริ้มเพรา’ โดยเฉพาะดวงตาโตออกเรียวยาวเล็กน้อยคู่นั้น ยามยิ้มจะละม้ายมณีหยดน้ำ เวลาที่มันเพ่งมองอะไรนิ่งๆ กลับคลับคล้ายดาวประกายพรึกคู่หนึ่ง รังไหม ใต้ขนตาล่างยังขับเน้นให้นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นมีเสน่ห์มากขึ้น
ต้มน้ำในหม้อไปได้ครึ่งทาง หลูซื่อแหวกม่านก้าวเข้ามาในห้องครัว เห็นร่างเล็กๆ นั่นเค้นแรงจนหน้าแดงก่ำ หมายจะผลักโอ่งน้ำที่ตั้งเอียงไปตอนเก็บกวาดเมื่อวานนี้ให้กลับเข้าที่ นางจึงรีบเข้าไปห้าม และตะเพิดบุตรสาวไปเล่นข้างนอกระหว่างรอกินข้าว
อี๋อวี้ทำปากยื่น แสร้งทำงอนตุ๊บป่องๆ ออกไป ได้ยินเสียงเอ็ดกลั้วหัวร่อของมารดาดังข้างหู นางเงยหน้าขึ้นเห็นหลูจื้อนั่งอยู่บนเสื่อหน้าโต๊ะกินข้าวถือหนังสือเล่มหนึ่งมองตนเองด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“เป็นอะไรไป ถูกไล่ออกมาอีกแล้วหรือ”
“เอ่อ…อื้อ”
“อะไรกัน ยังโกรธอยู่หรือ เจ้าต้องเข้าใจท่านแม่บ้างนะ ท่านเป็นห่วงว่าเจ้าจะทำไฟไหม้ในห้องครัวเท่านั้นเอง”
“…”
หลูจื้อทำสีหน้าจริงจัง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพบว่าอี๋อวี้ที่ก้มหน้าอยู่หาได้มีท่าทีจะพูดตอบ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิกแก้มกลมยุ้ยของนางทีหนึ่ง
อี๋อวี้เงยหน้ามองเขาด้วยความเจ็บ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเห็นดวงหน้าหนุ่มน้อยที่นับวันยิ่งรูปงามขึ้นนั่นประดับด้วยรอยยิ้มชัดเจน
ไม่รู้เพราะเหตุใด นางยิ่งโตขึ้น คนในครอบครัวยิ่งชอบสัพยอกนาง อาจเพราะหลูจวิ้นวางตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยหลังจากเขาได้เป็นศิษย์พี่ที่สำนักยุทธ์ในตำบลจาง เป้าหมายที่ถูกทุกคนเย้าหยอกก็ค่อยๆ เปลี่ยนคนไป ส่วนนางกลับได้แต่จำใจอดกลั้นไว้
อี๋อวี้รู้ว่าตนเองสู้ฝีปากเขาไม่ได้ นางแค่นเสียงฮึ หมุนกายไปดูแลแปลงผักในลานของนาง ตั้งแต่สามปีก่อนนางเริ่มลองผิดลองถูกปลูกพืชพวกนี้ จากแรกเริ่มที่คนในครอบครัวไม่สนใจ ต่อมาก็มุงดูด้วยความสนุก จนบัดนี้ตั้งตารอคอยอย่างโจ่งแจ้ง
แปลงผักเล็กๆ ผืนนี้เพิ่มรสชาติสีสันให้กับชีวิตที่เรียบง่ายของสกุลหลูมากขึ้น น้ำชาลอยใบปั้วเหอนั่นทั้งเย็นสดชื่นและชุ่มคอแก้กระหาย ซึ่งหลูจื้อชอบดื่มหนึ่งถ้วยหลังอ่านตำราเป็นที่สุด
ส่วนก้านอ่อนของผูกงอิงนำมาล้างสะอาดแล้วบดให้ละเอียดผสมกับแป้ง พอทำออกมาเป็นแป้งย่างจะเจือกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นอาหารหลักที่หลูจวิ้นโปรดปรานที่สุดในตอนนี้
ยังมีน้ำเมือกเหนียวๆ ที่คั้นจากใบว่านหลูฮุ่ยใช้ทาหน้าป้องกันไม่ให้แตกแห้งและทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นได้ ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว อี๋อวี้วางแผนให้หลูซื่อพบว่าพืชชนิดนี้สามารถรักษาอาการผิวหนังแตกแห้งได้ ซ้ำยังมีสรรพคุณช่วยให้ผิวขาวสวยอีกด้วย ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางดีอกดีใจขนาดไหน แม้นางไม่ต้องตากแดดตากลมทั้งวัน แต่ต้องลงนาบ่อยๆ จะมีสตรีคนใดเล่าที่ไม่กลัวตนเองแก่ชราอัปลักษณ์จริงๆ ต่อให้เป็นหญิงม่ายก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ในป่าที่ภูเขาด้านหลังมีพืชแปลกๆ หายากอยู่ไม่น้อย ตอนหลังนางยังย้ายต้นอื่นๆ มาปลูกตามลำดับ ทั้งหมดล้วนมีขนาดค่อนข้างเล็กและมีสรรพคุณพิเศษ
หลูซื่อเห็นนางปลูกต้นไม้พวกนี้รอดได้จริงๆ ก็หมดความคิดที่แค่จะมุงดูด้วยความสนุกอย่างเมื่อแรก และเปลี่ยนมาเริ่มต้นสนับสนุน ‘ความชื่นชอบสนใจ’ ในเรื่องนี้ของนาง
ตามบทบัญญัติของราชสำนัก ผู้ศึกษาทั่วแผ่นดินที่มีอายุครบสิบสี่ปีและไม่เคยผ่าน ‘การสอบรุ่นเยาว์’ สามารถเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลตามแถบถิ่นที่พำนักอาศัยในเดือนหนึ่งได้ หลังจากสอบผ่านแล้วจึงเข้าสู่เมืองหลวงรายงานตัวกับผู้คุมสอบอีกที เมื่อได้รับการเสนอชื่อแล้วถึงจะได้เข้าร่วมการสอบ ‘ชุนเหวย’ ของกรมพิธีการในเดือนสี่
รัชศกเจินกวนปีที่ห้า หลูจื้อซึ่งจะย่างเข้าวัยสิบสี่ปีเต็มหลังฤดูใบไม้ร่วงสามารถเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการในปีหน้าได้แล้ว
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 พ.ย. 62)