หลี่เสี่ยวเหมยไม่พูดตอบ เอาแต่ก้มหน้าต่ำลงพร้อมสาวเท้าเร็วรี่ถอยห่างจากหลูซื่อไปหลบอยู่หลังหลี่เหล่าสือกับมารดา ในสายตาคนนอก หลูซื่อกระทำเยี่ยงนี้กลับดูก้าวร้าวคุกคามผู้อื่นอยู่สักหน่อย ถึงขนาดที่มีหญิงชาวบ้านนางหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยสุ้มเสียงที่ค่อนข้างดัง
“เจ้าข่มขู่เด็กคนหนึ่งทำไม เรื่องนี้เห็นกันอยู่ทนโท่แล้วมิใช่รึ”
หญิงชาวบ้านไม่น้อยพากันเปล่งเสียงผสมโรงเบาๆ ไปกับถ้อยคำนี้ของนาง หลูซื่อเหลียวมองรอบตัว รู้ว่าแปดในสิบของคนที่ล้อมวงมุงดูอยู่ล้วนเชื่อถือคำลวงของหวังซื่อ เวลานี้นางรู้เช่นกันว่าวันนี้ตนเองคงจะอธิบายเรื่องนี้ไม่กระจ่างแล้ว อยู่ตรงนี้ต่อไปรังแต่เป็นที่ตลกขบขันของผู้อื่นเท่านั้น
นางถอนใจเฮือกหนึ่ง หมุนกายไปจูงอี๋อวี้ที่ไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างแล้วตั้งท่าจะกลับไป ไม่นึกว่าหวังซื่อซึ่งตอนแรกยังหลบอยู่ด้านหลังสามีเห็นท่าทางของนาง จะถลันออกมายืนขวางหน้าพวกนางสองแม่ลูกทันที
“อะไรกัน ยังพูดกันไม่รู้เรื่องก็คิดจะไปเสียแล้วหรือ”
หลูซื่อไม่อยากแยแสนาง แต่ชำเลืองเห็นทางหางตาว่ามีหญิงชาวบ้านหลายคนพร้อมใจกันยืนปิดประตูทางเข้าลานเรือนไว้ ร่องรอยเศร้าใจที่ปรากฏบนใบหน้าเพราะหลี่เสี่ยวเหมยพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดันดังเก่า
นางเอ่ยกับหวังซื่อ “เจ้ายังคิดจะให้ข้าพูดอะไร พวกเจ้าสองแม่ลูกล้วนพูดไปหมดแล้ว ข้ายังพูดอะไรได้อีก”
หวังซื่อทำหน้ายินดีอย่างสุดระงับ กล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ยอมรับสิ”
“ยอมรับ?” หลูซื่อแค่นเสียงฮึ ก่อนพูดเสียงกร้าว “เรื่องต่ำทรามที่ข้าไม่เคยกระทำพรรค์นี้ เหตุใดข้าต้องยอมรับด้วย! หวังกุ้ยเซียง หากวันนี้เจ้าแค่ต้องการทำลายชื่อเสียงของข้า เจ้าทำสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกรวมหัวกันหลอกลวงเพื่อนบ้าน ทำให้ข้าแปดเปื้อนมลทิน จนใจที่บุตรชายสองคนของข้าเพิ่งจากบ้านไป ในเรือนเหลือแค่ข้าหญิงม่ายกับลูกกำพร้า ไหนเลยจะตัดสินถูกผิดให้รู้ดำรู้แดงกับเจ้าที่มีสามีอยู่ด้วย วันนี้ข้าอดทนข่มกลั้นไว้ก่อน วันหน้ายังอีกยาวไกล ระหว่างเจ้ากับข้าใครดีใครชั่วย่อมมีผู้มีสายตาเป็นธรรมมองเห็นได้กระจ่างชัด”
สุ้มเสียงของนางแตกพร่าด้วยความโกรธจัด ทั้งที่น้ำเสียงแข็งกระด้าง กลับทำให้คนสัมผัสถึงความคับข้องหมองใจที่ถูกปรักปรำได้โดยง่าย ชาวบ้านรอบด้านเห็นสีหน้านางไม่คล้ายเสแสร้ง พวกที่เดิมตัดสินถูกผิดในเรื่องนี้ไปแล้วอดลังเลใจไม่ได้
หวังซื่อคลับคล้ายคิดไม่ถึงว่าหลูซื่อจะกล่าวคำเหล่านี้ นางพูดด้วยความเดือดดาลกะทันหัน “นี่เจ้าจะปากแข็งไม่ยอมรับนะสิ ข้ามีพยานรู้เห็นพร้อม เจ้ายังมีหน้าไม่ยอมรับอีก”
อี๋อวี้พูดแทรกขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีก “วาจาเลื่อนลอย ใครบ้างพูดไม่เป็น มีแต่พวกหูเบาถึงหลงเชื่อพวกท่าน หลี่เสี่ยวเหมยเป็นบุตรสาวท่าน ต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านมิใช่หรือ ท่านให้พูดอย่างไรนางก็พูดอย่างนั้น แบบนี้จะเป็นพยานได้เช่นไรกัน”
แม้หญิงชาวบ้านไม่รู้หนังสือ แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘วาจาเลื่อนลอย’ ได้ ในยุคสมัยที่การติดต่อสื่อสารไม่สะดวก คนชนบทเหล่านี้โดยมากไม่เข้าใจเรื่องคดีความ เพียงรู้จักแต่คำว่าจับโจรต้องจับได้คาหนังคาเขา หรือมีพยานหลักฐานมัดตัว ไหนเลยจะนึกไปถึงว่าบางเรื่องยังมีการ ‘สมรู้ร่วมคิด’ และ ‘ใส่ความ’ พรรค์นี้ได้ ก่อนหน้านี้ที่อี๋อวี้ไม่เอ่ยขึ้นมาเพราะไม่รู้ว่าหวังซื่อถึงกับให้บุตรสาวพูดโกหก เมื่อเห็นเหตุการณ์พลิกตาลปัตร นางไม่นำพาว่าต้องซ่อนคมแสร้งทำตัวเป็นเด็กน้อยต่อไป ดีที่ยามนี้ทุกคนไม่มีแก่ใจหยุดพินิจว่าเด็กน้อยคนหนึ่งกล่าวคำนี้เป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างยิ่ง
ราวกับหวังซื่อรอคอยคำนี้อยู่ก็ไม่ปาน พอสิ้นเสียงอี๋อวี้ นางพูดตอบทันทีโดยไม่รอดูปฏิกิริยาของชาวบ้านทั้งหลาย “ได้ ต่อให้พยานไม่น่าเชื่อถือ แล้วหลักฐานเล่า ข้ายังมีหลักฐานด้วยนะ”