หลี่ไท่แจ่มแจ้งดีว่าเสิ่นเจี้ยนถังจะไม่ไปจากเมืองหลวงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็ไม่จากไปก่อนงานเสกสมรสของเขา หากไม่ได้ชมเรื่องสนุกนี้ คนผู้นั้นกลัวจะนอนตายตาไม่หลับ
เขาหันไปมองผู้อยู่ใต้อาณัติที่สืบหาเบาะแสของเสิ่นเจี้ยนถังได้ล่าช้าข้างนอก เห็นเขาถอยออกไปด้วยสีหน้าตึงเครียดอย่างรู้ตัวว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ถึงงอนิ้วเคาะผนังรถม้าที่กลวงในสองที ส่งสัญญาณบอกให้จื่อหรานซึ่งซ่อนตัวอยู่ในที่ลับรุดไปจับคน เสิ่นเจี้ยนถังมิใช่พวกชั้นสามัญ คนที่สามารถเอาตัวรอดจากวังหลวงที่ชุกชุมไปด้วยยอดฝีมือโดยไม่บุบสลายอย่างนั้น ขืนส่งพวกมือกระบี่ประจำวังอ๋องไปจับตัวปลาไหลตัวนี้ เป็นไปได้มากว่าจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้ หมายตามหาตัวอีกทีก็ยากแล้ว
รถม้าเลี้ยวกลับไปวังเว่ยอ๋อง หลี่ไท่ก้าวเข้าสู่หอซูหลิวแล้วตรงเข้าห้องนอน พออยู่คนเดียวในห้อง ใบหน้าชายหนุ่มถึงเผยแววอ่อนล้า เขาเปลื้องอาภรณ์ตัวนอกโยนทิ้งไว้ด้านข้างแล้วนอนราบบนเตียง ยกมือหนึ่งบีบหว่างคิ้ว
เขาไม่ได้หลับสนิทมาหลายวันติดต่อกันแล้ว แม้ปกติเขาจะนอนน้อย โดยเฉพาะช่วงก่อนพิษฝันร้ายกำเริบ ไม่นอนหลับตลอดสองสามวันก็ไม่รู้สึกกลัดกลุ้มใจ ทว่าชั่วขณะนี้ เขาบังเกิดความปรารถนาอยากพักผ่อนจากส่วนลึกในใจ และอยากตามนางกลับมาอยู่ข้างกายอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว ต่อให้ได้แค่ดมกลิ่นสมุนไพรบนตัวนางโดยไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เช่นนั้นอย่างน้อยเขาก็รู้สึกสบาย ไม่ใช่ถูกอารมณ์เหนื่อยหน่ายเกาะกุมไปทั่วสรรพางค์กายเฉกเช่นยามนี้
มีแต่ในสถานการณ์อย่างนี้ เขาถึงประจักษ์ว่ามิใช่อารมณ์ใดๆ ก็ตามที่เขาแทบไม่เคยมี จะเป็นสิ่งที่เขาชอบสัมผัสรับรู้ในเวลานี้ เป็นต้นว่ากังวลใจ กลัดกลุ้ม หรือตำหนิตนเอง
หลี่ไท่พลิกกายบนเตียงแล้วลุกขึ้นคลายสาบเสื้อออกบรรเทาความอึดอัดตรงกลางอก เขานั่งอยู่ตรงหัวเตียงหลุบตาลงตรึกตรอง ตกลงว่าระหว่างเขากับนางเกิดปัญหาขึ้นตรงใด สิ่งที่นางต้องการ ไม่ว่าตำแหน่งชายาอ๋อง หรือว่าป้ายเล็กๆ ป้ายหนึ่งในการประชันศาสตร์ห้าสำนักนั่น เขาทำให้นางสมหวังได้หมด เหตุใดนางยังตรอมใจจนล้มป่วยเพราะคนไม่สลักสำคัญผู้หนึ่ง หรือว่าเชื่อใจเขามันยากเย็นปานนั้น
“…เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่”
วันที่ยี่สิบเดือนสาม การประชันศาสตร์ห้าสำนักจบลงแล้ว แต่เหล่าลูกศิษย์ในสำนักศึกษาหลวงกลับไม่พูดคุยถึงการแข่งขันเช่นที่ผ่านมา เพราะว่าในตอนท้ายของการประชันศาสตร์จารีต เรื่องภาพวาดของไหลกั๋วกงกับเว่ยอ๋องปรากฏอยู่ในหอขุยซิงพร้อมกัน รวมถึงบทกลอนเคียงภาพสองบทของคุณหนูรองสกุลหลู ซึ่งลูกศิษย์หลายคนได้ยินได้เห็นมาถูกแพร่สะพัดออกไป ข่าวเล่าลือพรรค์นี้เป็นอาหารปากอันโอชะพอดี ใครเล่ายังจะจดจำการประชันศาสตร์ที่ผ่านไปแล้วได้
อี๋อวี้ไม่รู้เรื่องทางเมืองหลวงแม้แต่น้อย นางลงจากเตียงได้ตั้งแต่วานซืน ทว่าร่างกายฟื้นฟูได้ช้าผิดปกติ กินข้าวต้องให้คนป้อน เดินเหินต้องให้คนประคอง ปัญหาข้อใหญ่คือไร้เรี่ยวแรง พอตระหนักถึงความผิดปกติทางร่างกาย นางชักร้อนรนกังวลใจอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อหลูซื่อกับหานลี่มีท่าทีจะให้นางพักฟื้นอย่างสบายใจที่นี่
“ท่านแม่ ข้าว่าพวกเรามิสู้กลับตำบลหลงเฉวียนพรุ่งนี้เถอะ อยู่ที่นี่รบกวนอาเหยาไปเรื่อยๆ ไม่เหมาะ ตัวข้าเองก็เป็นหมอยา ในเมื่อฟื้นแล้ว กลับไปบำรุงรักษาร่างกายเองก็ได้เช่นกัน”
สองแม่ลูกนั่งคุยกันอยู่ตรงหัวเตียง หลูซื่อยังไม่ทันเอ่ยปาก เหยาฮ่วงเดินมาถึงหน้าประตูก็ส่งเสียงหัวเราะ “แม่เด็กน้อยไม่ถ่อมตนเอาซะเลย เจ้ารู้หรือว่าอันใดคือหมอยา ยังกล้าเรียกขานตนเองอย่างนี้”
เหยาฮ่วงนั้นไม่ล่วงรู้ถึงสิ่งที่อี๋อวี้ประสบผ่านมาในสองปีนี้ ตัวเขาเป็นหมอเทวดาจอมพิสดารผู้ ‘กระเดื่องนามไปทั่วหล้า’ เป็นธรรมดาที่ทะนงในฝีมือเชิงนี้ของตน จะว่าเขาไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาก็สมควรอยู่