หญิงสาวลอบเยาะหยันตนเอง ครั้นเห็นแผ่นหลังนั่นไม่เคลื่อนไหว นางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่อาการอ่อนแรงไม่บรรเทาลงเป็นเหตุให้กะปลกกะเปลี้ยไปทั้งกาย นางแค่เปลี่ยนอิริยาบถง่ายๆ ก็มีเม็ดเหงื่อผุดซึมตรงปลายจมูกแล้ว
“ข้านึกว่ากว่าท่านจะตามมาเจอก็ต้องย่ำบ่ายแล้ว” อี๋อวี้บังเกิดความอิ่มอกอิ่มใจเมื่อคิดว่าเหยาจื่อชีส่งข่าวกลับไปเมื่อเช้า ตอนเที่ยงเขาก็ปรากฏกายที่นี่ แล้วความรู้สึกนี้ส่งผลให้นางมองข้ามเรื่องที่เขาไม่ได้ไปสวนผูเจินตอนนางล้มป่วยอย่างทันท่วงที ถึงอย่างไรนี่มิใช่ความผิดของเขา
“เจ้านึกว่า?”
หลี่ไท่กล่าวทวนคำขึ้นต้นประโยคของนางแล้วหมุนตัวขวับกลับมา ดวงตาทั้งคู่ปะทะกับใบหน้าสงบนิ่งของนาง จับสังเกตทุกๆ อารมณ์ความรู้สึกที่ฉายอยู่บนนั้นอย่างว่องไว ไม่ว่าปลาบปลื้มยินดี ประหลาดใจ อ่อนโยน หรือกระทั่งประจบประแจงจางๆ แต่กลับปราศจากวี่แววตัดพ้อต่อว่าหรือไม่พอใจสักน้อยนิด เฉกเช่นหลังจากนางรอดตายมาได้บนเขาต้าหมั่ง สมควรเป็นโชคดีของเขาหรือไม่ที่สตรีผู้นี้รู้จักพอจนไม่กล้านึกถึง
“ท่านเป็นอะไรไปหรือ” ไม่พบหน้ากันนานเจ็ดแปดวัน อี๋อวี้มองออกว่าเขาไม่ดีใจเท่าตนเอง นางดึงผ้าห่มอย่างกระสับกระส่าย พลางเอ่ยอธิบายเสียงอ่อย “วันนั้นป่วยกะทันหัน ถึงจากไปโดยไม่รอพบท่าน ไม่คิดว่าหานลี่จะพาข้ามาหาเหยาปู้จื้อ ท่านไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“ไม่เป็นไร?” หลี่ไท่มองดูท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงจากอาการป่วยของนางด้วยสีหน้าเฉยชา ท่ามกลางสายตางุนงงของนาง เขาโน้มตัวยื่นมือจับปลายคางแหลมเล็กแล้วออกแรงบีบจนนางร้องอุทานเบาๆ “ตากฝนทีเดียวก็ล้มหมอนนอนเสื่ออย่างนี้ เจ้ากลายเป็นคนอ่อนแอปวกเปียกขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
อี๋อวี้ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินหลี่ไท่พูดจาระคายหู แต่จำนวนครั้งน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย นางกะพริบตาปริบๆ อย่างงงงัน อากัปกิริยาที่ไม่คุ้นตาของเขานี้สร้างความฉงนสงสัยให้ นางทนความเจ็บตรงปลายคาง เอ่ยถามอีกหน “ท่านเป็นอะไรไป ใช่หรือไม่ว่าในเมืองหลวงเกิดเรื่องใดขึ้น”
หลี่ไท่หน้าขรึมลง เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ นอกจากสร้างปัญหาให้ข้า เวลานี้เจ้ายังทำอะไรได้อีก”
อี๋อวี้ได้ยินเขากล่าววาจาถากถาง ชั่วพริบตาหนึ่งนางคล้ายหายใจไม่ออก “ขะ…ข้า…ขอโทษ…” นางหลุบตาลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรยังเอ่ยปากขอขมาเขาอย่างง่ายดายได้ ทั้งๆ ที่กำลังปวดใจอย่างยิ่งยวด บางทีนางอาจรู้สึกอยู่ลึกๆ ในใจว่าตนสร้างปัญหาให้เขาจริงๆ
หลี่ไท่ปล่อยนิ้วมือออก ใช้นิ้วโป้งถูไถกับปลายคางที่ถูกบีบเป็นรอยแดงของนาง สุ้มเสียงของเขายังคงจับอารมณ์ใดๆ ไม่ออก หากคำพูดที่เปล่งออกมากลับทำให้หัวใจของอี๋อวี้ราวกับพลัดหล่นลงสู่โพรงน้ำแข็งก็ไม่ปาน
“ข้าจะแต่งเจ้าเป็นชายา ทั้งทำตามสัญญาแล้วครึ่งหนึ่งตอนวันเกิดเจ้า แต่ถ้าเจ้ากลายเป็นตัวถ่วง ข้าไม่ถือสาที่จะไม่รักษาสัญญาอีกครึ่งหนึ่งนั่น วังเว่ยอ๋องใหญ่โต ไม่กลัวมีที่ไม่พอสำหรับสตรีหลายคน”
“ท่านพูดอะไร” อี๋อวี้ยกมือขึ้นช้าๆ กุมข้อมือข้างที่จับปลายคางนางของเขาแล้วกำไว้จนแน่น สองตาของนางจ้องตาเขาเขม็ง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางกลัวตนเองจะตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นความพรั่นพรึงจะแผ่ลามไปทั้งสรรพางค์กาย หากแต่เสียงที่สั่นเทาได้เปิดเผยความกลัวในเสี้ยวเวลานี้ของนางแล้ว