บทที่ 13
“ดีมาก ถ้าข้าทำเรื่องที่สร้างความกระวนกระวายใจให้เจ้าอีก ก็ทำอย่างเมื่อครู่นี้ บอกออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ข้าอนุญาตให้เจ้าไม่เชื่อใจ แต่เจ้าต้องบอกให้ข้ารู้”
อี๋อวี้ยังจมจ่อมอยู่กลางความเจ็บปวดจับขั้วหัวใจในทีแรก พอได้ยินหลี่ไท่กล่าวจบ หลังเสียงสะอื้นไห้ดังต่อไปอีกเป็นเวลาสั้นๆ ก็หยุดลงฉับพลัน หญิงสาวซึ่งแขนขาอ่อนแรงปล่อยให้เขาอุ้มขึ้นวางลงบนเตียง ดึงผ้าห่มมาห่มถึงหน้าอก ก่อนหมุนกายไปหยิบผ้าจากที่วางอ่างน้ำตรงมุมห้อง
จวบจนผืนผ้าเย็นเฉียบสัมผัสข้างแก้ม อี๋อวี้ถึงตั้งสติได้ นางขบคิดคำพูดท้ายสุดของหลี่ไท่อย่างรวดเร็ว ดวงหน้าเล็กๆ ที่ผ่านการร้องไห้แดงก่ำเหยเกฉายความรู้สึกสลับสับเปลี่ยนกันไป ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ที่สีหน้าจะร้องไห้ก็ไม่ร้องไห้
“ท่าน…ท่านเจตนายั่วยุข้า?”
หลี่ไท่ไม่ตอบถือว่ายอมรับโดยปริยาย เขาเช็ดหน้าเช็ดตาที่เหนียวเหนอะหนะของนางแล้วโยนผ้าทิ้งลงบนโต๊ะเล็กตรงหัวเตียง นั่งหันข้างที่ขอบเตียง ฉวยแขนของนางมาวางนิ้วแตะข้อมือตรวจชีพจรให้ ต่อจากนั้นสอดมือข้างหนึ่งอ้อมหลังแล้วจับตัวนางพลิกลงนอนคว่ำหน้าบนตักโดยไม่บอกกล่าวให้รู้สักคำ
อี๋อวี้เพิ่งร้องไห้มายกหนึ่งก็อ่อนเพลียไปทั้งตัว นางยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดแจ้ง ก็รู้สึกเย็นวาบที่หัวไหล่ เสื้อตัวในหลวมโพรกเพรกบนร่างถูกเปลื้องลงมาครึ่งหนึ่งอวดลาดไหล่ นิ้วมือที่แตะลงบนไหล่ขวาทำให้หญิงสาวหน้าร้อนซู่ นางดิ้นขัดขืนตามสัญชาตญาณ แต่ขยับได้ไม่กี่ที ท้ายทอยก็ถูกตีด้วยน้ำหนักมือไม่แรงไม่เบาครั้งหนึ่ง
“นอนนิ่งๆ”
หลี่ไท่จับตามองรอยฟกช้ำปื้นใหญ่เท่าฝ่ามือที่ยังไม่เลือนหายไปบนไหล่ขวาของนาง เขาคิดขึ้นได้ว่านี่น่าจะเกิดจากการชนกระแทกที่หอเทียนอ่ายตอนฝนตกวันนั้น พาให้เขาหน้าบึ้งลงเล็กน้อย เม้มปากเป็นเส้นตรงขณะล้วงตลับเงินที่ส่งคนเข้าวังไปขอมาจากอกเสื้อ เปิดฝาควักยาขี้ผึ้งสีขาวน้ำนมก้อนหนึ่งมาบี้ตรงกลางฝ่ามือให้อ่อนลง จากนั้นเดินกำลังภายในวางมือทาบกับไหล่นางแล้วนวดคลึงช้าๆ เขาออกแรงมากขึ้นทีละน้อย ไม่ได้ยินเสียงนางร้องเรียกก็รู้ว่าไม่เจ็บแล้ว ถึงกระนั้นชายหนุ่มไม่พึงใจที่เห็นรอยแผลเพิ่มขึ้นบนตัวนางอีก เขาเบนสายตาไปจับอยู่ที่แผลเป็นสามรอยเห็นได้รำไรข้างลำคอนาง
“พวกที่ไปเป็นเบาะรองหลังให้คนอื่น ประเภทหนึ่งเรียกว่าคนโง่ อีกประเภทเรียกว่าเบาปัญญา”
“เอ๊ะ?” ฝ่ามือของเขาร้อนผะผ่าว น้ำหนักมือก็ชวนให้สบาย อี๋อวี้ตรึกตรองคำพูดประโยคสุดท้ายของเขาอยู่ ได้ยินเขาโพล่งคำนี้ขึ้น นางยังคิดตามไม่ทันในชั่วขณะจริงๆ ว่าโดนเขาด่าทางอ้อมแล้ว ทว่าการเคลื่อนไหวของมือเขากลับกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ใคร่น่าอภิรมย์ของนางบางอย่าง วันนั้นฝนตก จ่างซุนซีคลุมเสื้อตัวนอกสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่ในห้อง ส่วนหลี่ไท่สวมเสื้อตัวในดื่มชากับนางโดยไม่กลัวคำครหาสักนิด…
เพียงคิดถึงตรงนี้ ความหึงหวงก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ นางสูดน้ำมูกแล้วจะข่มกลั้นไว้ก็ได้ยินเสียงพูดของเขา