อี๋อวี้ขานรับขันๆ ก่อนก้าวเข้าไปคล้องแขนกับมารดา สองแม่ลูกก็ออกเดินไปทางหน้าประตูด้วยกัน
ประตูใหญ่เปิดอ้ากว้าง ตรงบันไดด้านหน้าวางแผ่นไม้พาดไว้ให้รถม้าแล่นผ่านได้สะดวก บ่าวชายในเรือนที่ชำระกายผลัดชุดอย่างสะอาดสะอ้านหลายคนได้รับคำสั่งกำชับจากผู้ดูแลแต่แรก ม้วนแขนเสื้อขึ้นยืนอยู่นอกประตูเตรียมรอแบกของในอีกประเดี๋ยวข้างหน้า
หลูซื่อยังให้เสี่ยวหม่านไปดูทางเรือนหลังอย่างไม่วางใจว่าเรือนพำนักที่ตระเตรียมไว้แล้วดูแลความเรียบร้อยหรือยัง แล้วค่อยไปเร่งทางเรือนครัวให้รีบทำอาหาร เพื่ออีกสักครู่จะได้จัดโต๊ะเลี้ยงต้อนรับพี่สาวของนาง
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เห็นรถม้าปรากฏขึ้นอยู่รำไรทางนอกไร่ซานจาหน้าคฤหาสน์ไม่ขาดสาย เสียงกงล้อหมุนบดผ่านพื้นครืดคราดดังใกล้เข้ามาทุกที ตั้งแต่รถม้าคันแรกสะท้อนเข้าคลองจักษุของอี๋อวี้ แขนของนางก็ถูกหลูซื่อกอดไว้แน่น จวบจนขบวนรถม้ายาวเหยียดไม่เห็นหัวเห็นท้ายทอดตัวตามทางคดเคี้ยวเคลื่อนตัวขึ้นเนินเขาหน้าคฤหาสน์ ถึงมองเห็นหีบใบเขื่องวางตั้งซ้อนๆ กันบนแคร่บรรทุกของรถม้าคันแล้วคันเล่าได้ชัดถนัดตา บางส่วนยังคลุมด้วยผ้ากันฝน อี๋อวี้คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นขบวนใหญ่โตปานนี้ นางได้ยินพวกคนรับใช้ข้างหลังเริ่มคุยกระซิบกระซาบกัน
รถม้านำหน้าขบวนสองสามคันหยุดจอดหน้าคฤหาสน์ หลูซื่อจูงมืออี๋อวี้สืบเท้าขึ้นหน้าหลายก้าว กำลังมองหาว่าหลูจิ่งซานนั่งอยู่บนรถม้าคันไหน เห็นม่านประตูรถม้าคันหนึ่งแหวกออก มีสตรีออกเรือนแล้วสวมเสื้อเขียวกระโปรงเหลืองนางหนึ่งกระโดดลงมา ก้าวเท้าปราดๆ ตรงมาหาพวกนาง
“หลันเหนียง”
“พี่จิ่งซาน”
อี๋อวี้ปล่อยแขนมารดา มองดูสองพี่น้องซึ่งแสดงความดีอกดีใจล้นเหลือที่ได้กลับมาพบกันแล้วรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก นางตวัดหางตาไปเห็นบุรุษวัยกลางคนในชุดเขียวสวมเสื้อคลุมขาวทับชั้นนอกกระโดดลงจากรถม้าคันเดียวกัน วัยราวสี่สิบเศษลักษณะท่าทางฉลาดหลักแหลมพอดู เขาไว้หนวดเรียวสองเส้นเหนือริมฝีปาก เรือนกายสันทัด รูปร่างออกท้วม ใบหน้าแฝงรอยเหนื่อยล้าจากการเร่งเดินทางตลอดราตรี นางคาดเดาในใจว่านี่คือฟางหัง ท่านลุงเขยที่ไม่พบกันมาก่อน
ครั้นเห็นทั้งสองกุมมือกันพูดจาไปไม่กี่คำก็ตั้งท่าจะร้องไห้ นางถึงก้าวเข้าไปขัดจังหวะ
“อวี้เอ๋อร์คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ”
“ดีจริง เจริญวัยเป็นสาวขนาดนี้แล้วหรือนี่” หลูจิ่งซานผละจากหลูซื่อ รีบประคองอี๋อวี้ที่ยอบกายคำนับตนให้ลุกขึ้น จับไม้จับมือนางมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งก่อนดึงตัวมากอดกับอกแน่นๆ แล้วตบไหล่นางเบาๆ กล่าวน้ำตาคลอ “เด็กดี ท่านป้าได้ยินได้ฟังเรื่องราวในครอบครัวเราหมดแล้ว สองปีนี้ปล่อยให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”
อี๋อวี้นึกเพียงว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องที่หลูจื้อถูกให้ร้าย ไม่รู้ว่าหลูจิ่งซานจะหมายถึงหลังจากเกิดเรื่องขึ้น หลูหรงหย่วนกับหลูหรงเหอสองพี่น้อง ‘ขับไล่’ นางออกจากตระกูล หญิงสาวจึงวาดมือโอบอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นี่ข้าก็ยังอยู่ดีมิใช่หรือ”
“เกิดเรื่องใหญ่ปานนั้น เจ้าคนเดียว…”
“จิ่งซาน…” ฟางหังเปล่งเสียงตัดบทภรรยาอย่างถูกจังหวะ เขายกมือหันนิ้วชี้เข้าหาตนเองพร้อมกับขยิบตาเป็นเชิงบอกว่าอย่าลืมว่าเขามาด้วย
อี๋อวี้เหลียวไปเห็นก็รู้สึกว่าท่านลุงเขยที่หันเหไปทำการค้าผู้นี้เป็นคนชวนหัว ความเศร้าหมองที่บังเกิดขึ้นเมื่อครู่ก็หายวับไป