หลูซื่อจัดโต๊ะสุราเลี้ยงต้อนรับพี่สาว หลังพูดคุยกันยืดยาวบนโต๊ะอาหาร จึงได้ความว่าที่แท้หลูจิ่งซานกับสามีย้ายมาจากหยางโจวเป็นความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าหลู นางบอกว่าพออี๋อวี้ออกเรือนไป หลูซื่อก็เหลือตัวคนเดียว มิสู้ให้พวกนางสองพี่น้องอยู่เป็นเพื่อนกันก็ดี
ฟางหังเป็นบุตรชายโทนของตระกูล แต่เดิมบิดาเขาเป็นขุนนางในราชสำนัก สืบเชื้อสายจากผู้สูงศักดิ์ในกวนจง เมื่อครั้งหลูจงจื๋อนำพาคนในครอบครัวไปเจียงหนานระดมไพร่พลให้หลี่ซื่อหมิน บิดาเขาสั่งให้เขาติดตามไปด้วย หลังเหตุการณ์ก่อกบฏประตูเสวียนอู่ สกุลฟางถูกสงสัยว่าพัวพันใกล้ชิดกับอันอ๋อง เป็นเหตุให้ถูกบีบคั้นบังคับต่างๆ นานา หลังฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ บิดาเขาล้มป่วยจากไป ฟางหังก็ไม่กลับเมืองหลวงอีก เขาลงหลักปักฐานในหยางโจวกับสกุลหลู กลายเป็นพ่อค้าที่มาจากชนชั้นสูงอย่างผิดยุคสมัย นับได้ว่าเป็นผู้มีความคิดของตนเองอย่างมาก
หลูจิ่งซานนั้นเดิมก็ตั้งใจจะพาฮูหยินผู้เฒ่าหลูมาพร้อมกันทว่าได้รับคำปฏิเสธ ด้วยระยะทางแสนห่างไกล คนชราทนการเดินทางตรากตรำไม่ไหว อีกทั้งทางหยางโจวก็มีคนเก่าแก่ที่ติดตามสกุลหลูมาสิบกว่าปีคอยดูแลรับใช้ นางจึงไม่ฝืนใจมารดา
สำหรับหลูหรงหย่วนกับหลูหรงเหอสองพี่น้อง ฮูหยินผู้เฒ่าหลูไม่เอ่ยถึงแม้สักคำ ถึงขั้นที่ไม่แม้แต่จะฝากถามสารทุกข์สุกดิบ ตามคำกล่าวของหลูจิ่งซานคือฮูหยินผู้เฒ่าหลูโกรธเคืองบุตรชายสองคนที่ไม่ดูแลหลูซื่อกับลูกให้ดี จึงไม่อยากสนใจไยดีพวกเขา
เปรียบกับท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นแทนของพี่สาว หลูซื่อสงบนิ่งกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด นางไม่ตำหนิโทษพี่ชายทั้งสอง ถึงอย่างไรถ้าจะบอกว่าใครติดค้างใคร เรื่องที่พวกเขาตามหาพวกนางแม่ลูกสิบกว่าปีอย่างลำบากลำบน ก็เป็นหนี้บุญคุณที่ไม่อาจแยกแยะกันได้ชัดโดยแท้
หลูจิ่งซานกลัวว่าเอ่ยถึงหลูจื้อหลูจวิ้นแล้วจะเสียน้ำตาอีก นางอดกลั้นไม่พูดต่อ เมื่อกินอาหารเสร็จ อี๋อวี้พาผู้อาวุโสสองคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรอง ส่วนหลูซื่อเมื่อรู้ว่าพวกเขาจะพำนักที่นี่เป็นเวลานาน ก็ให้คนไปเก็บกวาดเรือนหลังหนึ่งเตรียมที่ทางให้ก่อนแล้ว
ยามบ่ายหลิวเซียงเซียงมาจากเรือนสามี หลูจิ่งซานได้ยินน้องสาวเคยพูดถึงบุตรสาวบุญธรรมคนนี้มาหลายครั้งหลายหน แต่เพิ่งได้เห็นนางตอนอาหารเย็นวันนี้ ทุกคนล้วนมิใช่สตรีขลาดอาย หลังร่วมโต๊ะมื้อหนึ่งก็เริ่มคุ้นเคยกัน พร่ำบอกให้หลิวเซียงเซียงเรียกขานตนว่า ‘ท่านป้า’ ตามอย่างอี๋อวี้ไม่ขาดปาก
เมื่อกินอาหารแล้ว พวกสตรีเปลี่ยนที่ไปนั่งรับลมพูดคุยกันในสวนดอกไม้ ผิงถงพาหลูตงมาพบอี๋อวี้ เขาใช้เวลานานครึ่งค่อนวันกว่าจะตรวจนับสินเจ้าสาวที่ส่งมาจากหยางโจวเสร็จสิ้นแล้วยื่นแผ่นรายชื่อส่งให้ นางถืออ่านในมือรอบหนึ่ง ถึงแม้จะเห็นขบวนรถม้ายาวเฟื้อยไม่เห็นหัวท้ายนั่นก็เตรียมอกเตรียมใจไว้แล้ว ยังอดสะดุ้งโหยงไม่ได้ นางไม่สนใจมารดาที่ส่งสายตาถามและหลูจิ่งซานที่ปิดปากลอบหัวเราะ เบิ่งตาโตเอ่ยถามหลูตง
“นี่ล้วนเป็นท่านปู่ยกให้ข้าหรือ”
หลูตงนิ่งคิดแล้วตอบเสียงนอบน้อม “เรียนคุณหนู เพราะต้องทิ้งกำลังคนส่วนหนึ่งไว้ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าที่หยางโจว ร้านค้าไร่นาบางส่วนจึงไม่เหมาะจะขายทอดออกไป เมื่อหักเศษเล็กเศษน้อยออก โดยรวมๆ แล้วก็คือทั้งหมดนี้ขอรับ”
หลูจิ่งซานเห็นท่าทางตกอกตกใจของอี๋อวี้ก็หลุดหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่ นางคิดไปถึงถ้อยความถากถางเย้ยหยันในสารที่ได้รับเมื่อพักก่อนพวกนั้นว่าหลานสาวคนนี้ของตนไม่คู่ควรกับเว่ยอ๋องแล้วโมโหโกรธาขึ้นฉับพลัน ตบโต๊ะหินคราหนึ่ง เลิกคิ้วเรียวยาวขึ้นพร้อมพูดเสียงกระด้าง
“สกุลหลูเราเป็นตระกูลเก่าแก่ดั้งเดิม จะแต่งบุตรสาวทั้งที มีหรือที่คนโฉดเขลาในตระกูลสายรองที่รีดนาทาเร้นชาวบ้านพวกนั้นจะทาบเทียบได้ นายท่านผู้เฒ่ามีเจ้าเป็นหลานสาวคนเดียว รายชื่อสินเจ้าสาวแผ่นนี้เริ่มร่างขึ้นตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว คนสามัญธรรมดาจะคาดคิดได้หรือไร ต่อให้ประชันกับองค์หญิงในราชสำนัก ก็ต้องให้พวกนางอับอายขายหน้า!”
ติดตามตอนต่อไป